Skip to main content

จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เผยว่า รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานคนพิการแห่งสหราชอาณาจักร ล้มเหลวในเรื่องคนพิการ เมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยเรื่องคนพิการนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการองค์การสหประชาชาติที่ทำงานด้านสิทธิคนพิการ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

การมีนักเรียนพิการถูกแยกออกจากการศึกษากระแสหลักเพิ่มมากขึ้น และเกิดช่องโหว่ในการจ้างงานคนพิการอย่างยั่งยืนในวัยผู้ใหญ่ ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้างอิงถึงในรายงานขององค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิคนพิการในสหราชอาณาจักรว่า ล้มเหลวในการพิทักษ์สิทธิคนพิการในด้านนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตคนพิการซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเข้าถึง การให้ความดูแลด้านสาธารณสุข การศึกษา และการประกอบอาชีพ


ภาพจาก https://pixabay.com/en/wheelchair-disabled-pram-legs-help-1629490/

รายงานสถานการณ์ดังกล่าวเผยว่า สหราชอาณาจักรล้มเหลวในการสร้างความมั่นคงให้กับคนพิการในความดูแลของตนตามพันธสัญญาของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งองค์การสหประชาชาติหรือซีอาร์พีดี ซึ่งลงนามยอมรับการปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันกับชาติสมาชิกตั้งแต่ปี 2550 โดยความล้มเหลวปรากฎให้เห็นทั้งจากด้านการออกนโยบายและกฎหมายคุ้มครองสิทธิคนพิการภายใต้การดูแลของรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร

องค์กรการกุศลและผู้ร่วมจัดแคมเปญรณรงค์หลายฝ่ายให้คำอธิบายว่า การค้นพบความจริงนี้ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล เกิดขึ้นขณะที่นักการเมืองอีกฝ่ายเตือนรัฐบาลแล้วว่า สหราชอาณาจักรกำลังเข้าสู่ ‘ภาวะถดถอย’ ในด้านสิทธิคนพิการ และได้เพิ่มเติมด้วยว่า รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องควร ‘ละอาย’ ต่อสิ่งที่ปรากฎอยู่ในรายงานฉบับดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังยกเหตุผลที่ฝ่ายกฎหมายแห่งสหราชอาณาจักรล้มเหลวในการตระหนักรู้ถึง ‘การดำรงชีวิตอิสระ’ ของคนพิการ รวมไปถึง ‘สังคมที่ประกอบสร้างด้วยสิทธิมนุษยชน’ ในรายงานยังได้ชี้ให้เห็นถึงการขาดโครงสร้างการป้องกันทางสังคมที่เกี่ยวพันกับที่อยู่อาศัยและเงินงบประมาณสำหรับการดำรงชีวิตอิสระในคนพิการแต่ละคนด้วย

นอกจากนี้ ฝ่ายยูเอ็นเองยังได้กล่าวว่า สหราชอาณาจักรขาดการสนับสนุนให้คนพิการดำรงชีวิตอย่างอิสระ อีกทั้งการส่งต่อความรับผิดชอบงานด้านคนพิการจากรัฐบาลสู่การปกครองท้องถิ่นก็ยังไม่ดีพอ

อีกทั้งระบบการศึกษาของเด็กพิการในสหราชอาณาจักรนั้นเป็นระบบที่  ‘แบ่งแยก’ ผู้เรียนที่มีความพิการออกจากระบบการเรียนการสอนกระแสหลัก จนเกิดความกังวลว่า เรื่องนี้จะเป็นสาเหตุให้มีเด็กพิการใน ‘โรงเรียนพิเศษเฉพาะทาง’ มากขึ้น ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างเด็กพิการและเด็กไม่พิการที่จะต้องเติบโตไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม อีกทั้งระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ความต้องการการเรียนร่วมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิบัติของสถานศึกษา ที่ทำให้นักเรียนพิการอยู่ในสถานะที่เหมือนถูกแบ่งแยกจากเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่ไม่พิการ

รัฐฯทุ่มงบกว่า 39 ล้านปอนด์ ต่อสู้ปัญหาเงิน สงเคราะห์

แม้มีการผลักดันการเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพสำหรับคนพิการ แต่ก็ยังขาดแคลนการเข้าถึงการดูแลด้านสุขภาวะทางเพศและด้านการวางแผนครอบครัว

จากรายงานดังกล่าวยังพบด้วยว่า ปัญหาการจ้างงานอย่างยั่งยืนและการจ่ายเงินสำหรับคนพิการ เป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอต่อการจ้างงานคนพิการในปัจจุบัน แม้จะมีการเปิดตลาดแรงงานคนพิการ จากการบังคับตามกฎหมายของสหภาพยุโรปก็ตาม

นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องการกีดกันทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นกับคนพิการในสหราชอาณาจักร คณะกรรมการชี้ให้เห็นถึง ‘ความกังวลฝังลึก’ ที่คนพิการกลุ่มชาติพันธุต้องเผชิญเมื่อต้องอยู่ในสหราชอาณาจักร

บารอเนส เซเลีย โทมัส โฆษกประจำพรรคเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งมีความพิการได้กล่าวว่า อังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้นำในสหราชอาณาจักร กำลังเข้าสู่ความเสื่อมถอยในเรื่องสิทธิคนพิการและหวังว่า รายงานฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลเกิดความรู้สึก ‘อับอาย’ ต่อการกระทำของตนบ้าง

เหตุการณ์ปลดคนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างกะทันหันเป็นแรงกดดันให้คนพิการหลายพันคนต้องออกจากงาน ไม่เพียงกระทบแรงงานคนพิการในทางเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อแรงงานที่ไม่รู้หนังสือด้วย หลังจากที่มีรายงานฉบับนี้ออกมา รัฐบาลย่อมที่จะต้องถูกบังคับให้รับฟังปัญหาจริงที่เกิดขึ้น

การค้นพบความจริงตามรายงานฉบับดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเกือบหนึ่งปีมานี้ หลังจากที่คณะกรรมการขององค์การสหประชาชาติได้เผยแพร่รายงานฉบับดังกล่าวบนฐานของนโยบายบริหารที่ควรเกิดขึ้น รายงานฉบับดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาเปิดเผยโดย the Tories หรือนักการเมืองจากพรรคอนุรักนิยมของอังกฤษและสหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักรกับการถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ

เดวิด ไอแซค ประธานคณะกรรมการความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการประณามจากยูเอ็นถึงความล้มเหลวที่มีต่อการปกป้องสิทธิคนพิการ สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนเป็นอันดับแรกคือการยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น

เขาได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การลดทอนงบประมาณสนับสนุนการดูแลทางสาธารณะสุขและสังคมมีผลต่อศักยภาพของคนพิการในการมีชีวิตอิสระ ซึ่งขวางกั้นการเข้าถึงความเป็นธรรม และเป็นช่องว่างที่สำคัญในกฎหมายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเพื่อคนพิการ หากรัฐบาลเอาจริงเอาจังเกี่ยวกับการให้ความยุติธรรมและสังคมที่เสมอภาค รัฐบาลต้องพัฒนากลุ่มคนพิการ ในด้านการตอบสนองความต้องการและการออกนโยบายใหม่ๆ เพื่อทำให้คนพิการมั่นใจว่า จะไม่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นประชากรชั้นสองอีกต่อไป

ขณะเดียวกัน โฆษกฝ่ายรัฐบาลได้ออกมากล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่รายงานฉบับดังกล่าวไม่ได้สะท้อนภาพตามหลักฐานที่มอบให้ยูเอ็น และไม่รับรู้ความก้าวหน้าทั้งหมดที่รัฐพยายามทำให้คนพิการมีอำนาจในชีวิตทุกด้าน

ทั้งนี้โฆษกรัฐบาลยังได้เปิดเผยอีกว่า รัฐบาลใช้เงินสนับสนุนหลายพันล้านปอนด์ต่อปีเพื่อส่งเสริมคนพิการและคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ สูงเป็นอันดับสองในกลุ่ม G7 หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก

อีกทั้งรัฐบาลให้คำมั่นสัญญาที่จะสนับสนุนสิทธิและโอกาสสำหรับคนพิการทุกคน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลจึงส่งเสริมคนพิการกว่า 6 แสนคนให้เข้าสู่ตลาดงานในสหราชอาณาจักรตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

 “เรายังคงเป็นผู้นำในด้านสิทธิมนุษยชนเพื่อคนพิการและความเสมอภาคในระดับโลก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงยังคงสนับสนุนการพัฒนาอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติที่เกี่วข้องกับเรื่องเหล่านี้อยู่” โฆษกฝ่ายรัฐบาลกล่าว

 

แปลและเรียบเรียงจาก

http://www.independent.co.uk/news/uk/home-news/un-disabled-rights-uk-government-denounced-criticised-united-nations-austerity-policies-a7923006.html