Skip to main content

ลูกชายตาสีฟ้ากลมโต หน้าตาน่ารัก เมื่อโตขึ้นกลับมีใบหน้าบิดเบี้ยว ผิดรูปทรง ฟันแหลมเหมือนกับ 'เด็กผี' แถมพูดไม่รู้เรื่องเป็นภาษา หรือเพราะพิธีรับศีลล้างบาปเกิดขึ้นช้าเกินไปจนทำให้เด็กนั้นถูกสลับ


ภาพ อิศเรศ เทวาหุดี

แอนเดรียสกำลังเลือกชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เธอพอจะหาได้เพื่อเตรียมตัวพาลูกน้อยวัยสองเดือนของเธอไปรับศีลล้างบาปกำเนิดในวันอาทิตย์ที่จะมาถึงอีกสามวันข้างหน้า ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบถูกหยิบมาวางอย่างบรรจงพาดไว้ที่ราวตะกร้าหวายบุนวมที่มีเด็กชายเพิ่งเกิดนอนเล่นอยู่ ดวงตากลมใสสีฟ้าและแก้มแดงเรื่อสีชมพูบ่งบอกถึงสภาพกายของเด็กน้อยที่แข็งแรงสมบูรณ์ แอนเดรียสเป็นหญิงสาวชาวบ้านฐานะค่อนไปทางยากจนเกิดและเติบโตในเมืองเบรสลอว์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมนีในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน เมื่อก้าวเข้าวัย 18 ได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่เกิดเมืองเดียวกัน สองสามีภรรยาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแรงงานในไร่และอาศัยอยู่ที่โรงเรือนหลังโรงเลี้ยงม้าในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์ของนายจ้างที่เป็นขุนนางผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง

ขณะที่เธอกำลังเตรียมชุดสำหรับพิธีบัพติสมา สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษเนื้อหยาบใบเล็กที่ซุกไว้ปลายเตียงใกล้กับผ้าห่มเนื้อฝ้ายของลูกชายของเธอ เมื่อแอนเดรียส หยิบขึ้นมาดู ก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นกระดาษจดหมายจากแม่ของเธอที่อาศัยอยู่อีกเมืองหนึ่ง โดยเขียนด้วยลายมือขยุกขยิกเตือนเธอให้จัดหา “กุญแจหนึ่งดอกวางไว้ข้างเตียง” และจะต้องไม่ “ทิ้งเด็กแรกเกิดให้อยู่ตามลำพังเป็นอันขาด” แม่ของเธอลงท้ายจดหมายว่า มันเป็นวิธีที่จะ “ปกป้อง” ลูกของเธอจากภูตหรือนางฟ้าที่จะมา “จับ” ตัวเด็กไป

คนวัยหนุ่มสาวอย่างเธอและสามีเพียงแต่อ่านจดหมายที่ได้รับจากแม่ที่อยู่ชานเมืองและไม่ได้สนใจอะไรนัก ด้วยความที่ภารกิจในแต่ละวันทำให้ทั้งคู่ต้องวิ่งวุ่นกับงานในไร่ของ ส่วนตัวแอนเดรียวเองเนื่องจากเพิ่งคลอดใหม่ เธอก็ได้รับอนุญาตให้ช่วยงานในครัวและดูแลคอกม้า โดยทุกครั้งที่เธอออกไปทำงาน ก็จะพาลูกน้อยใส่ตะกร้าหวายและหิ้วไปอยู่ด้วยในบริเวณใกล้เคียง

วันนี้อีกเช่นกัน หลังจากทำธุระส่วนตัวและจัดเตรียมชุดสำหรับตัวเองและลูกเพื่อไปโบสถ์วันอาทิตย์ แอนเดรียสพาลูกมาทำงานในครัวด้วย ก่อนจะได้รับแจ้งจากหัวหน้าคนงานที่เข้ามาในครัวว่า ในสุดสัปดาห์ที่จะมาถึงขอให้แรงงานทุกคนไม่ว่าจะหญิงหรือชายเข้ามารายงานตัวเพื่อจัดสรรหน้าที่ในไร่เพิ่มเติม เนื่องจากนายของบ้านต้องการขยายพื้นที่ทำไร่ข้าวสาลี เพื่อเพิ่มผลผลิต แอนเดรียสรู้สึกว่าพิธีศีลล้างบาปของลูกเธออาจจะต้องเลื่อนออกไปอีกสักหน่อย

ค่ำวันนั้น สามีของเธอยังไม่กลับมาจากไร่ เธอกำลังนำชุดสำหรับพิธีรับศีลมาซ่อมแซมในส่วนที่เกือบจะขาด และนำผ้าลูกไม้สีเข้มมากุ๊นเป็นขอบแขนเสื้อให้กับชุดของเด็กชายแรกเกิด เสียงฟ้าร้องครืนๆ บ่งบอกถึงเม็ดฝนที่กำลังใกล้เข้ามา แอนเดรียสวางผ้าที่เย็บอยู่ลงบนโต๊ะที่อาศัยแสงไฟจากเทียนไขสองเล่ม ก่อนจะเดินผ่านเตียงของลูกน้อยและไปที่ขอบหน้าต่าง เพื่อปิดประตูไม้กันไม่ให้ฝนสาด

เธอได้ยินเสียงลูกน้อยร้อง “แอ๊ะ” และหันหน้าไปมอง เด็กชายยิ้มเผยให้เห็นรอยแก้มบุ๋ม และแลบลิ้นจิ๋วออกมา ราวกับจะทักทายแม่ของเขา แอนเดรียสหัวเราะ ความไร้เดียงสาและน่ารักของเด็กแรกเกิดจับใจเธอ

ฟ้าร้องดังขึ้นมาอีก คราวนี้ดังกว่าเดิม ส่งผลให้ม้าในคอกที่อยู่ห่างออกไปจากเรือนที่พักของเธอราว 300 เมตรร้องฮี่เสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ ม้าในคอกสะบัดตัวแรงและเตะประตูไม้ที่พาดไว้ด้วยซีกไม้เก่าๆ อยู่หลายที แอนเดรียสมองออกไปและเกรงว่าประตูไม้พวกนี้จะถูกพังเสียก่อน เธอรีบคว้าผ้าคลุมมาโพกผมและห่มตัวท่อนบนไว้ก่อนจะวิ่งออกไป หากเจ้าม้าพวกนี้หลุดออกไป เธอและสามีจะต้องแย่แน่ๆ

แอนเดรียสวิ่งออกไปจัดการกับธุระตรงหน้า ก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะเทกระหน่ำลงมา เธอวิ่งกลับเข้ามาในเรือนที่พักอีกครั้ง และก็ค้นพบว่าตอนที่เธอวิ่งออกไป เธอคงรีบมากจนไม่ได้ปิดประตู เพราะประตูเรือนที่พักของเธอเปิดออกกว้าง จนลมที่หอบพายุฝนพัดเข้ามา เทียนไขบนโต๊ะทั้งสองเล่มดับสนิทด้วยแรงลม

เธอเดินฝ่าความมืดไปที่เปลตะกร้าของลูกชาย พบว่าเขากำลังนอนอยู่ในอิริยาบถเดิม เธอไม่เห็นแววตาสีฟ้าใสของลูกน้อยเหมือนเคย คงเพราะความมืด เธอเอานิ้วไล่เลี้ยไปตามแก้มนิ่มและริมฝีปาก เด็กชายวัยแปดสัปดาห์แลบลิ้นและกัดที่นิ้วของแม่

“อุ้ย” แอนเดรียสสะดุ้ง ด้วยแรงกัดที่มาพร้อมกับความรู้สึกของฟันที่แหลมคม แต่เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เธออุ้มลูกออกจากเปล ในจังหวะเดียวกับที่สามีของเธอวิ่งหนีฝนเข้ามาทันที แอนเดรียสบอกเล่าถึงแผนการไปโบสถ์เพื่อรับศีลจุ่มของลูกว่าคงต้องเลื่อนไป

# # # # #

สองเดือนผ่านไป แอนเดรียสและสามียังคงวิ่งวุ่นกับงานในไร่ และดูแลลูกน้อย สิ่งที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากเป็นพิเศษ คือใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กชาย จากเด็กน้อยตาใสสีฟ้า แก้มชมพูแดงเรื่อ ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นหน้าตาที่ดูผิดส่วน ช่วงกระดูกหน้าด้านบนเริ่มขยายออกกว้าง ไม่ได้สัดส่วน จุดระยะห่างของดวงตาเริ่มกว้างขึ้น และไม่มีจุดกำหนดสายตาเวลาที่เธอส่งเสียงเรียกลูก ใบหน้าส่วนล่างตั้งแต่ปากและคางลงมาก หุบงุ้มแคบลงขึ้น ดวงตาสีฟ้าที่เคยส่องแสงประกายก็กลับหม่นลงจนเกือบจะเป็นสีเทา แอนเดรียสไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่เธอแน่ใจว่าตอนที่เธอคลอดลูกใหม่ๆ เด็กชายมีใบหน้าอีกแบบหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้เธอและสามีกลุ้มใจมากไปกว่านั้นคือ การไม่แสดงพัฒนาการใดๆ ของเด็กน้อยไปมากกว่าการส่งเสียงไม่เป็นภาษาและการแสดงออกอารมณ์ที่ดูรุนแรงและขุ่นมัว บ่อยครั้งเขาจะกรีดร้องเสียงแหลม (ที่แอนเดรียสคิดว่า บุตรชายของนางเสียงแหลมดีเกินกว่าเด็กผู้ชายในบางครั้ง) และที่สำคัญกินมากกว่าปกติ ทุกครั้งที่เธอให้นม เด็กน้อยจะดูดนมด้วยความกระหายอย่างรุนแรง จนบางครั้งแม่วัยสาวอย่างเธอก็รู้สึกว่าน้ำนมแทบจะหมดตัวแล้ว แต่ลูกน้อยก็ยังไม่หายหิว หากไม่ได้ดั่งใจ เด็กชายก็กรี๊ดร้องแหลมทุกครั้ง ซึ่งแอนเดรียสแน่ใจว่าเป็นเสียงที่แตกต่างจากอาการร้องไห้หิวนมของเด็กทั่วๆ ไป

ในทุกๆ วัน แอนเดรียสวุ่นวายกับชีวิตประจำวันต่างๆ เหล่านี้ และหลงลืมไปถึงคำแนะนำของแม่ของเธอที่เขียนมาหาเธอในจดหมายตอนลูกเธอเกิดใหม่ๆ แอนเดรียสไม่ได้สนใจจัดหาเครื่องรางต่างๆ มาไว้ การจะมารักษาธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ที่เธอมองว่าเป็นเพียง “เรื่องเล่า” นั้นก็เป็นเรื่องที่ดูห่างไกลจากความคิดของเธอ

วันนี้เธอพาลูกน้อยมาทำงานในโรงนา เธอกำลังจะต้องเรียงและคัดแยกเมล็ดข้าวสาลีร่วมกับคนงานคนอื่นๆ ทันทีที่เธอวางลูกน้อย เด็กชายก็คลานเตาะแตะไปที่กระสอบข้าวสาลี และเอามือน้อยๆ กำเม็ดข้าวออกมาปาลงบนพื้น เด็กชายดูจะเงียบขรึมกว่าปกติทุกทีและมีสมาธิจดจ่อกับเมล็ดธัญพืชด้วยการเอานิ้วเขี่ยไปมา และส่งเสียงหวีดร้องที่บ่งบอกถึงความสนุกเป็นระยะๆ เมื่อแอนเดรียสเดินมาดูลูกเป็นระยะ พร้อมส่งเสียงเรียก ก็ไม่มีที่ท่าว่าเด็กชายจะรับฟัง

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนพระอาทิตย์กำลังจาลาขอบฟ้า แอนเดรียสหันมาดูลูกชายที่กำลังนั่งน้ำลายยืดและใช้นิ้วเกลี่ยเมล็ดข้าวสาลีทีละเมล็ดได้อยู่นานหลายชั่วโมง เธอตรงไปอุ้มลูกเพื่อจะกลับเรือน และเป็นดังคาดคิด เด็กชายส่งเสียงกรีดร้องดังอย่างขัดใจจนทุกคนหันมามองที่แม่ลูกเป็นสายตาเดียวกัน

ทุกๆ วันที่ผ่านไป แอนเดรียสรู้สึกว่าลูกชายของเธอเป็นเด็กเลี้ยงยากและเริ่มมีความก้าวร้าวและรุนแรงมากขึ้นโดยที่เธอและสามีไม่อาจเข้าใจหรือเข้าถึงได้ เธอไม่สามารถ “สื่อสาร” กับเขาได้อย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นภาษาทางกาย หรือภาษาเสียงที่แม่และลูกในวัยนี้น่าจะพอสื่อสารกันได้ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแต่กรีดร้อง กิน ขับถ่าย และหลายครั้งก็แสดงออกความรุนแรงทางร่างกายกับเธอ เวลาที่แอนเดรียสขัดใจ เช่นใช้มือน้อยๆ ทุบตีที่หน้าอกอย่างแรง เวลาที่เธอให้นมเสร็จ

เธอได้ยินเสียงซุบซิบจากแรงงานในครัวที่เริ่มพูดจากันไปว่า บางทีลูกชายของเธออาจเป็น “เด็กผี” หรือบางครั้งเธอก็ได้ยินว่า เป็นเพราะเธอยังไม่พาลูกไปรับศีลล้างบาป นั่นเป็นสาเหตุที่ลูกเธอมีพฤติกรรมที่ร้ายกาจเช่นนี้ หน้าตาก็ไม่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ ทั่วไป ในบางครั้งเธอก็ได้ยินว่า ปีศาจได้สลับร่างลูกชายของเธอไปแล้วและนำลูกปีศาจมาให้เธอเลี้ยงแทนซึ่งเป็นความเชื่อตามตำนานพื้นบ้านที่เล่าขานกันของชาวยุโรป แอนเดรียสได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ

# # # # #

เช้าวันอาทิตย์ในเดือนที่ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านพ้นไป แอนเดรียสและสามีอุ้มลูกชายเดินเข้ามาในโบสถ์ชุมชนเล็กๆ ถึงเวลาที่เด็กชายจะได้รับศีลล้างบาปกำเนิดเสียทีเด็กน้อยห่อตัวอยู่ในชุดสีขาว คลุมด้วยห่อผ้าคลุมกันหนาวขลิบขอบด้วยลูกไม้ลายกระจิด ขณะนี้มีรูปร่างเติบใหญ่กว่าเด็กเกือบขวบปีทั่วไป  แต่ทว่าสีหน้าและแววตาของเด็กชายล่องลอยไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า น้ำลายไหลยืดเปรอะชุดใหม่ที่แม่ของเขาบรรจงเย็บขึ้นมาให้ พิธีรับศีลบัพติสมาในวันนี้มีผู้มาร่วมงานเพียงไม่กี่คน หากไม่นับรวมคุณยาย ซึ่งเป็นแม่ของแอนเดรียสที่เดินทางมาร่วมแล้ว ก็มีเพียงเจ้าหน้าที่ในโบสถ์อีก 2-3 คน เด็กน้อยไม่มีแม่หรือพ่อทูนหัว อาจจะเป็นเพราะความอาภัพที่สามีภรรยาทั้งสองไม่ได้มีเพื่อนมาก หรือเด็กน้อยไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจหรือทำให้คนรอบข้างเกิดความรักใคร่เอ็นดูได้ก็ตามที

เมื่อบาทหลวงมองเห็นเด็กน้อย ในทันทีก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะนั้นมี “ข่าวลือ” ที่พูดคุยกันในกลุ่มนักคิดหัวก้าวหน้าและนักเทววิทยาของเยอรมันว่านักบวชหัวแข็งและนอกรีตผู้มีชื่อเสียงนามว่า ‘มาร์ติน ลูเธอร์’ ได้เอ่ยถึงวิธี ‘กำจัด’ เด็กๆ ที่เกิดมามีความ “ผิดปกติ” โดยเฉพาะอาการผิดปกติทางสมอง” ที่พัฒนาช้า หรือไม่สามารถพัฒนาได้ว่า “ควรนำไปกดน้ำให้ตายเสีย” สำหรับในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาที่ ‘ปัญญา’ และ ‘เหตุผล’ ก้าวหน้าล้ำไป และความเชื่อเดิมต่างๆ นานาของยุคกลางอย่างภูติผีปีศาจหรือสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ก็ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป บาทหลวงคิดถึงข่าวลือต่างๆ นั้นอย่างใจลอยและไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยตรงหน้ามีความผิดปกติในแบบไหน เมื่อสองสามีภรรยาเดินเข้ามาใกล้แท่นพิธี สายตาของเด็กน้อยมองประสานมาที่ดวงตาของบุรุษนักบวช บาทหลวงแน่ใจว่าเด็กชายตรงหน้ากำลังแยกเขี้ยวแสยะยิ้มจางๆ

บาทหลวงค่อยๆ ใช้มือสัมผัสน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในอ่างทอง และวักน้ำขึ้นหนึ่งอุ้งมือเพื่อเริ่มต้นรดน้ำลงไปบนศีรษะของเด็กน้อย ทันทีที่น้ำและฝ่ามือของบาทหลวงสัมผัสเส้นผมขดดำ เด็กน้อยก็ยื่นมือมาตะปบมือของบาทหลวงและใช้เล็บจิกลงอย่างแรง พร้อมกับทำเสียงแหลมเล็กราวกับขู่ฝ่อ แอนเดรียสและสามีตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้เธอพลั้งมือ ปล่อยให้ศีรษะของเด็กจมลงไปในอ่างน้ำที่เตรียมไว้สำหรับล้างบาปกำเนิดให้กับทารกนี้ ทุกคนกำลังตกอยู่ในความเงียบของโบสถ์และความสงัดงันดำมืดในจิตใจ มีเพียงเสียงกรีดร้องแหลมเล็กของเด็กน้อยที่ขณะนี้ได้รับการตั้งชื่อตามนักบุญว่า ‘แมทธิว’ ดังก้องกังวานอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะเงียบเสียงไป…บาทหลวงนึกถึงคำของมาร์ติน ลูเธอร์อีกครั้ง

# # # # #

           

Changeling  เชื่อกันว่าคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตำนานพื้นบ้านหรือเรื่องเล่าเชิงศาสนาของชาวยุโรปในยุคกลาง เชื่อกันว่าเด็ก Changeling /เชนเจอลิ่ง/ (ซึ่งแปลว่า ถูกสับเปลี่ยน หรือถูกนำไป) คือ เด็กที่นางฟ้าหรือภูตินำมาสับเปลี่ยนกับลูกของมนุษย์ โดยเด็กเหล่านี้มักจะเป็นเด็กที่เกิดมาแล้วมีอาการของโรคภัยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นเด็กที่มีความพิการและผิดปกติทางสมอง เชื่อกันว่าตำนานเชนเจอลิ่งเป็นแนวคิดของคนยุคกลางในการ “ทำใจ” ให้ยอมรับกับสภาพความผิดปกติของบุตรที่ตนให้กำเนิดมา และมักจะมองลูกของตนว่าเป็น “เด็กพิเศษ” เพราะเป็นเด็กที่นางฟ้าหรือภูตินำมาให้ คนยุคกลางมีความเชื่อ อย่างการนำดอกกุญแจที่ทำจากเหล็กไปไว้ข้างเตียงเด็กแรกเกิด (เพราะเชื่อกันว่าภูติหรือปีศาจกลัวโลหะหนัก เช่น เหล็ก จึงใช้เป็นเครื่องรางป้องกัน) และยังมีความเชื่อว่า แม่ไม่ควรปล่อยให้เด็กทารกแรกเกิดจนถึงหกสัปดาห์อยู่ตามลำพัง เพราะจะถูกขโมยไป นอกจากนี้หากครอบครัวไหนต้องเจอกับเด็กเชนเจอลิ่งแล้ว ก็สามารถใช้วิธีแก้เคล็ดด้วยการ “ทำร้ายร่างกาย” หรือกระทำทารุณต่อเด็กๆ เหล่านั้นได้ โดยเชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ภูติที่ลักลูกของตนไปนั้นนำกลับมาคืน เพราะไม่อยากให้เด็ก changeling ถูกทำร้าย ซึ่งโลกสมัยใหม่ก็ตีความว่า ความเชื่อดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการใช้ความทารุณและรุนแรงกับเด็กที่พิการทางสมองได้อย่างชอบธรรม นอกจากนี้ ทางหลักจิตวิทยาสมัยใหม่แล้ว ยังปรากฏว่ามีการเชื่อมโยงอาการและพฤติกรรมของเด็ก changeling ในยุคกลางเข้ากับอาการของโรคในกลุ่มออทิซึมด้วย

 

อ้างอิง:

The Changeling (Jacob & Wilhelm Grimm, German Legends)

Martin Luther and Drowning of Children (E. Y. D. Avis, MDPaul W. Pruyser, PhD - JAMA network)

Intellectual Disability and the Myth of Changeling Myth (C.F Goodey)