Skip to main content

"ทำไมเขาถึงเย็นชากับเราขนาดนั้น"

" ตอนไปเป็นอาสาสมัครค่ายกิจกรรมเพื่อคนพิการ
เราได้เจอกับเขาที่มาเป็นอาสาสมัครเหมือนกัน
ด้วยความที่เราเป็นคนสนุกสนานเฮฮา ตอนเป็นผู้นำกิจกรรมในค่ายเราก็เต็มที่กับกิจกรรมและคนที่มาเข้าร่วมมาก เขาคงรู้สึกถูกชะตากับเราเพราะคงไม่เคยเจอคนพิการทางการมองเห็นที่ตลกแบบเรามาก่อน

------

หลังจบจากค่าย กลุ่มอาสาสมัครก็นัดกันไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดโดยมีเขาไปร่วมทริปด้วย ก็เลยมีโอกาสได้คุยกันจริงจังจนต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกันแล้วตัดสินใจคบหาดูใจกั

ช่วงแรกที่คบกัน เราได้เจอกันแค่ช่วงที่เขาปิดเทอมแล้วกลับมาบ้าน เพราะเขากำลังเรียนปริญญาตรีปีสุดท้ายอยู่ที่ต่างประเทศ สมัยนั้นยังไม่มีไลน์หรือเฟซบุ๊กเข้ามา ทำให้เวลาจะติดต่อหากันแต่ละครั้งก็ต้องนัดเวลาคุยโทรศัพท์กัน

------

บอกตรง ๆ ว่าชีวิตนี้ไม่คิดว่าเราจะได้รู้จักกับเขาเลยเพราะอยู่ในสังคมที่ต่างกันมาก

เขาเป็นถึงลูกสาวนักธุรกิจบริษัทชื่อดัง
เราเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีหน้าที่การงานโดดเด่นอะไร

การได้รู้จักเขาจึงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อและพิเศษมากสำหรับเรา
เพราะไม่เคยมีใครยอมรับและสนุกกับความเป็นตัวเราเท่าเขามาก่อน

------

เขาเป็นเหมือนแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องเรียนต่อปริญญาโท มีหน้าที่การงานมั่นคง และได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่นไปเล่นละครเวที ทำรายการท่องเที่ยว ตั้งวงดนตรีของตัวเอง ทำหนังสือทำมือ

ถึงเขาจะบอกว่าไม่มีปัญหากับความพิการของเรา

"แต่เรารู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองให้มีความรู้และความสามารถมากพอที่จะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้โดยไม่ทำให้เขาดูด้อยลง"

พี่น้องบางคนของเขาก็รู้เรื่องและยอมรับความสัมพันธ์ของเรา แต่บางคนก็ไม่เข้าใจว่า

"มาคบกับเราทำไมเพราะเราพิการทางการมองเห็น"

เราเองก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่คบกันกับพ่อแม่ของเขาอย่างเป็นทางการเพราะกลัวว่าถ้าเผชิญหน้ากับพวกท่านแล้วจะยอมรับในตัวเราและความแตกต่างของเราสองคนไม่ได้ กลัวว่าความสัมพันธ์ของเราต้องจบลง

------

สัญญาณความเปลี่ยนแปลงเริ่มมาตอนเขาเข้าเรียนปริญญาโท จากเมื่อก่อนที่เขาเคยมารับไปเที่ยว กินข้าว ดูหนังด้วยกัน
เขาเริ่มห่างเหินกับเรามากขึ้น ตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเย็นชากับเราขนาดนั้น จนวันหนึ่งเขาบอกกับเราว่า

'เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า'

------

ช่วงที่เลิกกัน 3-4 ปีแรกสภาพจิตใจเราแย่มาก ชีวิตเขวไปเลย เสียใจในตัวเองและหมดพลังในการทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนั้น เหมือนสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันไร้ประโยชน์ ทั้งเรื่องเรียน หน้าที่การงาน หรือกับวงดนตรีเราก็ไม่ได้ทุ่มเทเท่าเมื่อก่อน

แต่สุดท้ายเมื่อเราคิดได้ ก็ดึงตัวเองกลับมาตั้งใจเรียนปริญญาโทต่อจนจบ เต็มที่กับการทำงาน และเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป

เมื่อความสัมพันธ์ของเราจบลงและต่างคนต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง เราก็ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันไว้ 5 ปีที่ได้รู้จักและคบกันคือช่วงเวลาที่พิเศษและเป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับเรามาก ตอนนี้ผ่านไปเกือบ 10 ปีแล้ว เราก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวของเรา ส่วนเขาก็ได้กลายเป็นความทรงจำที่สวยงามของเราเรื่องหนึ่ง"