Skip to main content

บ่อยครั้งที่เรามักถามตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีดวงตาไว้มองเห็นเหมือนคนอื่น ถ้าเราเห็นเพียงแค่ความมืด ชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไป

 

ใช่.. เราเป็นคนกลัวความมืด ครั้งหนึ่งเคยได้ฟังเพลง “แค่หลับตา” จากละครเวทีเรื่องรักจับใจเดอะมิวสิคัลเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังมีคำถามติดอยู่ในใจมาตลอด บทเพลงที่บอกเล่าโลกของคนตาบอดที่ใช้ใจสัมผัสสิ่งสวยงามของโลกใบนี้ ดังในประโยคหนึ่งของเพลงที่ว่า “แค่หลับตาจะพบเจอโลกอีกใบที่สวยงามและสดใส ลองมองด้วยใจไม่จำเป็นต้องใช้สายตา” พอได้ฟังก็เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า เราจะรู้ว่าโลกสวยงามได้ยังไงถ้ามีแต่ความมืด ความสวยงามสัมผัสได้ด้วยหัวใจจริงหรือ และในจินตนาการของคนตาบอด โลกนั้นสวยงามจนไม่จำเป็นต้องมีดวงตาเพื่อมองเชียวเหรอ ? 

วันนี้เราได้ลองเข้าไปเรียนรู้โลกของคนตาบอดตามคำแนะนำของใครหลายคนที่ “ Dialogue in the Dark  ” บทเรียนในความมืด เราจ่ายค่าเรียนเพียงแค่ 90 บาท ในการท่องโลกมืดหนึ่งชั่วโมงครึ่งกับ 8 บทเรียนในบทบาทของคนตาบอด

ก้าวแรกที่เข้าสู่โลกมืด ไม่มีแสงจากไหนส่องให้เห็น มีเพียงตัวเรากับไม้เท้าขาวและสัมผัสทั้ง 4 นั่นคือ หู จมูก ปากและมือ ในความมืดนี้ต่อให้เปิดตามองหรือปิดตาก็มีค่าเท่ากัน จะมีก็เพียงไม้เท้าขาวคอยนำทาง ส่วนมืออีกข้างคอยจับผนังรอบด้านไว้ไม่ให้ตัวเองเคว้งอยู่กลางอากาศและความมืด อีกสิ่งที่ช่วยให้อุ่นใจเมื่ออยู่ในนั้นก็คือคนนำทางหรือที่รู้จักกันดีในฐานะไกด์

รอบที่เราเข้าไป ได้เจอกับไกด์ วาสนา พี่วาสคอยเล่าเรื่องราวว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ไหน อยู่กับสถานที่ใด และเมื่ออยู่ ณ สถานการณ์นั้น คนตาบอดจะทำอย่างไร ในหนึ่งรอบของการเรียนจะจำกัดผู้เข้าได้ 8 คน ในรอบนี้ ที่เราไปมีเพียงแค่ 6 คนที่เข้าไปสัมผัสความมืดพร้อมกัน

เมื่อเริ่มเดินเข้าไปจะเจอกับห้องนั่งเล่น ห้องนี้พี่วาสอธิบายถึงกฎระเบียบคร่าวๆ ในการเรียนรู้ความมืด จากนั้นก็เดินเรียงแถวเข้าสู่บทเรียนอย่างเข้มข้นและสนุกสนาน ตลอดทางเดินทุกคนจะได้ลองสัมผัส ลองดมกลิ่น นอกจากความเงียบแล้ว ก็คงเป็นแค่เสียงพวกเราพูดคุยกันดังลั่นด้วยความตื่นเต้นกับการลองสิ่งใหม่ๆ สำหรับคนตาดีอย่างเราการมองเห็นเปรียบเสมือนดวงใจของทุกการสัมผัส แต่เมื่ออยู่ในนั้นเรากลับรู้ว่าที่จริงแล้วดวงตาเป็นเพียงแค่อวัยวะส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ดวงใจหลักที่ร่างกายเรามี การมีดวงตาที่มองเห็นทุกสิ่งไปพร้อมกับทำกิจกรรมอื่นๆ นั้นทำให้เราสามารถแยกสมาธิได้ แต่เมื่อร่างกายเหลือแค่การสัมผัส ทำให้มองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากการรับรู้สิ่งที่ทำอยู่ และนั่นทำให้ประสาทสัมผัสสามารถแยกแยะรายละเอียดได้มากกว่า

ยิ่งเราเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ เราก็จะได้เจอกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การสำรวจสวนสาธารณะ จับคลำต้นไม้ใบหญ้า ได้ลองสัมผัสใบไม้เพื่อดูว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เมื่อได้สัมผัสในตอนแรกจะรู้สึกถึงความลื่น ทว่ากลับดูสะอาดจนมั่นใจว่านี่คือใบไม้ปลอมแน่นอน แต่ปรากฏว่าพี่วาสเลื่อนมือของเราไปจับที่ปลายของใบ มันมีความแห้งกรอบจนหลุดติดมือออกมาเลยรู้ว่านี่เป็นของจริงซะแล้วล่ะ 

ด่านต่อมาไปเจอเก้าอี้นั่ง เจอถังขยะขวางทางหรือการทายรูปปั้นว่าเป็นรูปอะไร กลุ่มของเราที่เดินมาด้วยกัน บ้างบอกรูปปั้นนั่นคือเสือ บ้างก็เป็นสิงโต บ้างบอกเป็นคน เพราะสิ่งที่เราจับกันมันไม่มีลักษณะที่ชัดเจนพอให้จับแล้วรู้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ว่าที่จับอยู่มันเป็นส่วนไหนของรูปปั้น พี่ไกด์จึงต้องบอกให้เราค่อยๆ จับ ค่อยๆ สังเกตว่ารูปปั้นมีดวงตาหรือเปล่า มีผมไหม แล้วเท้าล่ะเหมือนคนหรือเหมือนสัตว์ จับไปเรื่อยๆ แบบละเอียด พอรู้คำตอบ พี่วาสเลยถามว่ารูปปั้นอยู่ในท่าไหนล่ะมันถืออะไรอยู่ ความงงจึงเกิดขึ้น ส่วนไหนล่ะที่เรียกว่ามือ เพราะเพื่อนร่วมกลุ่มของเราคลำเจอแล้วบอกว่าเหมือนเป็นลูกไก่ เราก็งงสิเขาจับส่วนไหนทำไมเป็นไก่ ทำไมเราจับแล้วรู้สึกเหมือนเป็นแค่ลูกกลมๆ ล่ะ  เมื่อทายกันถูกแล้วพี่วาสก็พาเราเดินต่อ จนมาเจอกับปัญหาใหญ่ที่คนตาบอดเจอบ่อยมากแล้วเราก็สงสัยมาตลอดว่าพวกเขาเอาชีวิตรอดได้ยังไงกันนะ นั่นก็คือ ทางเท้านั่นเอง เราเดินจับแผงกั้นถนนไปเรื่อยๆ เจอกับทางต่างระดับ ผิวถนนที่ขรุขระ ที่ต่อให้มีไม้เท้าขาวช่วยนำทางแค่ไหน ก็ลดความระแวงต่ออันตรายไม่ได้เลย ยิ่งเมื่อต้องข้ามถนนพี่วาสบอกให้เราจับสังเกตเสียงเท้าคนเดินแล้วจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรข้าม ฟังเหมือนง่ายใช่มั้ยล่ะ

ใช่.. ในนี้ง่ายเพราะมีพี่วาสจับมือเราเดินข้าม แต่ถ้าต้องเดินทางคนเดียว ไปไหนมาไหนด้วยการฟังเสียงและจับสังเกตแบบนี้ในชีวิตจริงก็น่าจะยากน่าดูเลยแหละ หลังข้ามถนนแล้วพวกเราเจอกับตลาด การสังเกตสิ่งของในตลาดจากการจับและดมเป็นอีกเรื่องที่ท้าทายมากเหมือนกัน พี่วาสถามขึ้นเมื่อเดินมาติดกับแผงแข็งๆ ตรงหน้าว่านี่คือส่วนไหนของตลาด พวกเราลองลูบคลำไปเรื่อยๆ เจอเข้ากับของแข็ง ทรงยาว ผิวขรุขระ ด้วยความไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร พี่วาสเลยแนะนำให้ดมกลิ่นเอา พอยกขึ้นมาดมก็ได้กลิ่นความเป็นผักเขียว กลิ่นความเป็นแตงกวาที่ตีจมูกขึ้นมา เลยลองจับของอันอื่นดูบ้าง คราวนี้เจอกับของแข็งเหมือนกัน แต่มันเป็นปล้องที่ด้านหนึ่งใหญ่อวบแล้วค่อยไล่เรียวเล็กลงมา ผิวขรุขระนิดหน่อย เราเดาไม่ออกจนต้องยกมาดม โอเคใช่แล้วนี่คือกลิ่นของแครอท หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปอีกร้านค้าหนึ่งเป็นร้านที่มีช่องเล็กๆ หลายช่องในแผงขาย แต่ละช่องมีซองผลิตภัณฑ์ของใช้วางอยู่ บางช่องเป็นลักษณะหลอดที่พวกเราทุกคนพร้อมใจกันเดาว่านั่นคือยาสีฟัน  บางช่องจับแล้วรู้ทันทีมันคือแปรงสีฟัน เพราะมันเป็นด้ามยาวที่มีขนนุ่มเป็นกลุ่มก้อนอยู่ที่หัวแปรงด้านหนึ่ง

////

ต่อด้วยโซนที่เราชอบมาก คือการผจญภัยบนรถตุ๊กๆ พี่วาสพาเราขึ้นรถไปเจอกับเสียงผู้คน เสียงแม่ค้าขายของ และคอยอธิบายบอกว่าข้างทางคืออะไร และนั่นทำให้เราต้องใช้สมาธิในการฟังอย่างสูง เพราะรอบข้างมืดไปหมดจนมองอะไรไม่เห็น ทุกอย่างต้องอาศัยการฟังและภายในจินตนาการเท่านั้น การสัมผัสประสบการณ์บนรถไม่ใช่แค่เรื่องของเสียงรอบข้าง แต่รวมไปถึงเรื่องฝนฟ้าอากาศอีกด้วย พี่วาสได้จำลองสถาณการณ์เมื่อรถวิ่งขณะที่ฝนตก ไอน้ำกระทบเข้ากับหน้าของเราจนสัมผัสได้ถึงความเย็นและเปียก รถขับเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้ายหลบก้อนฝนพร้อมคำบรรยายสนุกสนาน เราหัวเราะออกมาอย่างเสียงดังประหนึ่งกำลังซิ่งตุ๊กๆ อยู่จริง

เดินถัดไปในอีกห้องหนึ่ง เราได้ฟังดนตรี พี่วาสสอนให้แยกเสียงดนตรีออกจากกัน ทั้งเสียงกลอง ฉาบ กีต้าร์ เปียโน หลังได้ฟังเพลงไปเรื่อยๆ ทำให้เรารู้ว่าการมองไม่เห็นนั้น ทำให้ประสาทสัมผัสของหูจับเสียงได้มากกว่าปกติ ทุกทีเรามักฟังเพลงไปด้วยมองสิ่งรอบข้างไปด้วยหรือทำอย่างอื่นไปพร้อมกัน แต่เมื่อหลับตาลงทุกอย่างรอบข้างเราสงบ หูของเราได้ทำงานละเอียดมากขึ้น ได้รับรู้ว่าท่อนไหนมีเครื่องดนตรีอะไรกำลังเล่นอยู่บ้าง

มาที่โค้งสุดท้ายของบทเรียนแห่งความมืด เราได้เจอกับร้านขายขนมโดย พี่อ้น พ่อค้าร้านขายขนมบอกว่ามีอะไรขายและราคาเท่าไหร่ จึงได้มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น แต่แล้วความสงสัยก็เกิดขึ้นว่าเอ๊ะ แล้วพี่อ้นรู้ได้อย่างไรว่าเราให้แบงค์อะไร เราสงสัยจนกระทั่งพี่วาสบอกว่าคนตาบอดจะจับสังเกตธนบัตรจากความยาวที่ต่างกัน รวมถึงผิวสัมผัสด้วย พี่อ้นเลยรู้ว่าใครให้แบงค์ยี่สิบ ใครให้แบงค์ร้อย

การเรียนหนึ่งชั่วโมงครึ่งนี้ไขข้อสงสัยเรื่องการใช้ชีวิตของคนตาบอดไปได้หลายเรื่อง เวลาในห้องผ่านไปเร็วมาก แป๊ปเดียวก็มาถึงด่านสุดท้ายแล้วล่ะ การอยู่ในโลกมืดไม่ได้น่ากลัวไปหมดเหมือนที่เราคิด แต่ทำให้เรามีสมาธิกับสิ่งที่กำลังเจออีกด้วย

/////

ในช่วงสุดท้ายของบทเรียน เราจะมีโอกาสพูดคุยกับพี่ไกด์นำทางของเรา ถ้าสงสัยอะไรก็สามารถถามพี่ไกด์ได้เลย เราได้ถามพี่วาสว่าการที่เขามองไม่เห็นแบบนี้มันทำให้เขาใช้ชีวิตยากลำบากมากไหมเพราะขนาดเราเองที่มองเห็นมาตลอด พอไม่ได้ใช้ดวงตาในการใช้ชีวิตแค่ชั่วโมงเดียวยังรู้สึกว่าลำบากและกังวลกับทุกสิ่งที่เห็นว่าไม่ปลอดภัยหรืออันตราย พี่วาสตอบว่า ลำบากแต่ไม่ได้มากขนาดนั้น พวกเขามีเทคนิคการใช้ชีวิตจากการพึ่งพาสัมผัสอื่นๆ จนสามารถดำเนินชีวิตอย่างคนอื่นได้

สำหรับเรา นี่ไม่ใช่เพียงการเรียนรู้โลกมืดของคนตาบอด แต่เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ สิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อคนตาบอดไปอย่างสิ้นเชิงและคลายข้อสงสัยไปได้เยอะ มากกว่านั้นยังทำให้รู้ว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีดวงตาให้มองเห็น นั่นก็คงไม่ใช่ชีวิตที่แย่เสียทีเดียว เพราะยังมีสิ่งรอบข้างรอให้เราได้สัมผัส หลายสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความสว่างที่เรามองเห็น ถ้านึกภาพไม่ออก ในวันที่เราเหนื่อยล้าลองหลับตาลงแล้วปล่อยให้หูของเรานำพาจินตนาการล่องลอยไป แล้วจะพบว่า เรามีอีกหลายสิ่งที่อยู่รอบข้าง เพียงแค่เรามองข้ามมันไปเท่านั้นเอง

 ในโลกความมืดก็มีประสบการณ์หลายๆ อย่างให้เราได้ตื่นเต้นและเรียนรู้อยู่นะ ถ้าใครสนใจอยากเรียนเราเองก็แนะนำอยากให้ลองไปสัมผัสดู ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00 – 16.00 น.  ที่จามจุรีสแควร์ ชั้น 4 แล้วคุณจะสนุกเชื่อเราสิ : )