Skip to main content

ไม่นานมานี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเครือข่ายคนพิการรักสุขภาพโดยมีตัวแทนเครือข่ายคนพิการทั้ง 7 ประเภทเข้าร่วมเสนอความคิดเห็นในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขสำหรับคนพิการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยหลังจากการระดมความคิดเห็น สมลักษณ์ แซ่ลิ้ม นักวิชาการอิสระ ได้นำเสนอข้อเสนอไว้ 5 ประเด็นหลักดังนี้

1.เพิ่มสิทธิประโยชน์คนพิการให้เข้าถึงบริการสุขภาพและการฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการ โดยเสนอให้มีการจัดระบบคูปองในการเบิกไม้เท้าขาว เพื่อให้คนพิการสามารถเลือกคุณสมบัติของไม้เท้าได้หลากหลาย รวมทั้งจัดบริการผ่านสมาคมที่มีในพื้นที่เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังเสนอให้เพิ่มประสิทธิประโยชน์การใส่ตาปลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการ เพิ่มสิทธิประโยชน์ของรายการบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางด้านการแพทย์ในทุกประเภทความพิการ เพิ่มสื่อ สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนพิการทุกประเภทสามารถเข้าถึงบริการได้ เช่น ล่ามภาษามือ แอปพลิเคชัน หรือบัตรคิวเป็นต้น

ขณะเดียวกันก็เสนอให้พัฒนาระบบการส่งต่อคนพิการทางจิตในกลุ่มอาการกำเริบ เช่น จัดรถรับส่งด่วนสำหรับคนที่มีอาการกำเริบ, พัฒนาระบบการดูแลคนพิการทางจิตที่เชื่อมโยงกับภาครัฐและองค์กรคนพิการทางจิต, ให้องค์กรคนพิการทางจิตเป็นหน่วยบริการร่วม, พัฒนาระบบบริการและการคัดกรองทางการเรียนรู้, พัฒนาระบบคลินิกพิเศษสำหรับบุคคลออทิสติกในโรงพยาบาลระดับจังหวัดทุกจังหวัดและเพิ่มพละบำบัดเป็นโปรแกรมบำบัดบุคคลออทิสติก, จัดบริการทำหมันผ่านการส่องกล้อง ตลอดจนให้กองทุน สปสช.ระดับพื้นที่มีตัวแทนคนพิการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรง

2. การเพิ่มสิทธิประโยชน์การเข้าถึงอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ โดยเสนอให้เพิ่มชุดเครื่องช่วยฟังและประสาทหูเทียม เพิ่ม/ ทบทวนสิทธิประโยชน์อุปกรณ์ วัสดุทางการแพทย์ รวมถึงอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย

3. สิทธิประโยชน์การเข้าถึงยาสำหรับคนพิการ เสนอให้ปรับเปลี่ยนยาขยายกระเพาะปัสสาวะ ปรับมาตรฐานยาและการเข้าถึงยารักษาอาการผู้ป่วยจิตเวช โดยปรับให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในการเข้ารับยา เพิ่มสิทธิประโยชน์หลักและสิทธิประโยชน์เฉพาะ บรรจุยาริสเพอริโดนประเภทน้ำอยู่ในบัญชียาหลัก ขอให้คงยาน้ำออริจินอลไว้ในระบบบัญชียาหลัก

4. สิทธิประโยชน์ในการเข้าถึงข้อมูล ข่าวสารบริการ และความรู้ที่จำเป็นกับคนพิการ เสนอให้พัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร จัดบริการคอลเซ็นเตอร์ 1330 สำหรับคนหูหนวก พัฒนาการค้นหาข้อมูลเพื่อรองรับจำนวนคนพิการที่ใช้บริการผ่านล่ามภาษามือตู้ TTRS หรือช่องทางอื่นๆ ในการไปโรงพยาบาลพบแพทย์หรือเข้าถึงบริการสาธารณสุข

5. เสนอให้หน่วยบริการร่วมให้บริการการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ทางการเห็นโดยสมาคมคมตาบอดแห่งประเทศไทย, หน่วยบริการร่วมจัดบริการทั่วไปคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย เป็นหน่วยร่วมจัดบริการให้กับคนพิการทางการเคลื่อนไหว, หน่วยบริการร่วมจัดบริการทักษะการดำรงชีวิตอิสระของคนพิการ (Independent Living : IL) และหน่วยบริการร่วมให้จัดบริการคนพิการทางจิต

สุนทรี เซ่งกิ่ง กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและอนุกรรมการสื่อสารสังคมและรับฟังความคิดเห็น กล่าวว่า ข้อเสนอเหล่านี้บางประเด็นสามารถทำได้ง่าย ไม่ใช้เงินมากมาย เช่น ล่าม แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งสะท้อนว่า ระบบยังไม่ใส่ใจหรือมีความละเอียดอ่อนพอ โดยตนจะนำไปสะท้อนในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ เช่นเดียวกับบางประเด็นที่มีในชุดสิทธิประโยชน์อยู่แล้วแต่ยังมีข้อเสนอขึ้นมาอีก สะท้อนว่าคนพิการบางส่วนยังไม่ทราบสิทธิประโยชน์หรือสิทธิประโยชน์ที่มียังไม่สอดคล้องกับความต้องการ เรื่องนี้ก็คงต้องนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมทั้งประเด็นการเข้ามามีส่วนร่วมจัดระบบการบริการของเครือข่ายคนพิการก็คงต้องช่วยกันผลักดันต่อไป

อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์ทำงานกับเครือข่ายแรงงาน เห็นว่า การใช้เวทีรับฟังความคิดเห็นลักษณะนี้อย่างเดียวยังไม่พอสำหรับการเสนอให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ในระบบหลักประกันสุขภาพ โดยแนะอีกวีธีในวาระที่ สปสช.จัดงานศึกษาข้อเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่โดยให้ผู้มีส่วนได้เสียจัดทำข้อเสนอ ซึ่งสภาวิชาชีพต่างๆ จะจัดทำข้อเสนอขึ้นมา รวมไปถึงภาคประชาชนก็มีสิทธิทำข้อเสนอเช่นกัน กระบวนการนี้จะทำให้ข้อเสนอเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกหัวข้อและการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์

ขณะที่ สุภัทรา นาคะผิว กรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข กล่าวว่า ในเชิงยุทธศาสตร์การเสนอข้อเสนอลักษณะนี้คงไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีข้อเสนอเยอะไปหมด ดังนั้นการบ้านที่เครือข่ายคนพิการต้องทำต่อคือต้องคัดเลือกประเด็นว่าอะไรเร่งด่วนสำคัญของแต่ละกลุ่ม อะไรมีโอกาสสำเร็จได้ภายใน 3-5 ปี และจัดทำรายละเอียดมากกว่านี้

“เรื่องอะไรก่อนหลังเราควรเป็นคนหยิบขึ้นมาพูดไม่ใช่ให้คนอื่นเป็นคนหยิบ นอกจากนี้ต้องแยกแยะข้อเสนอ เพราะบางประเด็นไม่ได้เกี่ยวกับ สปสช.โดยตรง บางอย่างเป็นหน้าที่ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หรือของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไม่ใช่หน้าที่ของ สปสช.ที่จะทำได้ตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นต้องแยกแยะประเด็นและคัดเลือกข้อเสนอให้เหลือเครือข่ายละ 1 ประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด รวมทั้งจัดทำรายละเอียดที่ชัดเจนมากๆ เพราะคนที่อยู่ในกลไก สปสช.หลายคนก็ไม่ได้ทราบรายละเอียดในประเด็นเหล่านี้เลย”สุภัทรากล่าว

สุภัทรากล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน การผลักดันเรื่องใดสักเรื่องก็ต้องรู้กลไกทั้งหมดที่มีในระบบสุขภาพ เช่น ถ้าเป็นเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์ ก็ต้องไปทำงานกับอนุกรรมการสิทธิประโยชน์ ถ้าเป็นสิทธิประโยชน์อยู่แล้วแต่เข้าไม่ถึงหรือมีปัญหาเรื่องมาตรฐานการบริการ ก็ต้องมาที่กรรมการควบคุมคุณภาพฯ การศึกษากลไกภายในต่างๆเหล่านี้มีความสำคัญมากเพราะจะทำยิงเป้าได้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา นอกจากการทำการบ้านที่ดีแล้ว ข้อเสนอแต่ละข้อต้องมีคนรับผิดชอบเป็นเรื่องๆไป เสนอแล้วอย่าทิ้งต้องกัดไม่ปล่อย และผู้รับผิดชอบต้องเป็นคนที่รู้เรื่องนั้นดีที่สุดและต้องพร้อมจะตอบคำถามได้

“ถ้าเสนอสิทธิประโยชน์ใหม่ คำถามที่ต้องเจอคือจะต้องใช้เงินกี่บาท  แล้วจะเกิดความคุ้มค่าทางสุขภาพอย่างไร คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นอย่างไร คำถามเหล่านี้เป็นคำถามพื้นฐานของผู้ตัดสินใจเชิงนโยบายต้องการรู้ เพราะฉะนั้นทำการบ้านอีกนิด เริ่มจากการเลือกประเด็นสำคัญ อย่าเอาทั้งหมดนี้มาเสนอในคราวเดียว ขอให้เลือกและมีรายละเอียดชัดเจนว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ภายในกี่ปี ขณะเดียวกัน การให้ข้อมูลแก่คนที่อยู่ในกลไกสำคัญ ควรทำชุดข้อมูลมาประกอบหน่อยก็ดีเพราะคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการคนพิการอาจจำเป็นต้องมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม พูดง่ายๆคือเป็นเอกสารที่ทำให้คนตัดสินใจเชิงนโยบายเห็นภาพและเข้าใจในปัญหานั้นๆได้”สุภัทรากล่าว

ระนอง สุขเกษม จากสำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วม สปสช. กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของสปสช.คืออยากให้ทุกเครือข่ายมีการรวมตัวกัน เครือข่ายคนพิการมีความหลากหลายถึง 7 ประเภท มีความต้องการที่หลากหลาย ที่ผ่านมารวมตัวค่อนข้างยากเพราะต่างคนต่างมีประเด็น จึงอยากให้คนพิการทุกเครือข่ายมารวมกันผลึกกำลังหรือพูดบางที่ทำให้เสียงมีพลังมาตกลงร่วมกันจริงๆว่าขับเคลื่อนเรื่องไหน แล้วค่อยๆทำไปทีละเรื่อง รวมทั้งอยากให้กำลังใจว่าถ้าคนพิการรวมตัวกัน ช่วยกันคิดช่วยกันทำ สุดท้ายแล้วก็น่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการกันทุกเครือข่าย

“จากการรับฟังความคิดเห็นใน 13 เขตที่ผ่านมา ทุกเขตก็มีตัวแทนคนพิการมาเสนอเขตละ 2-3 ข้อ ซึ่งมันกระจัดกระจายและขาดความแหลมคม ก็เลยคิดว่าการเชิญทุกเครือข่ายมารวมกันครั้งนี้น่าจะช่วยทำให้กระบวนการเสนอข้อคิดเห็นมีความชัดเจนมากขึ้น”ระนองกล่าว