Skip to main content

การจากลานับเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ยิ่งเป็นการจากลาที่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกก็คงเป็นความทรงจำอันน่าเศร้าที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เหมือนกับเรื่องราวของ ลูอิซ่า คลาร์ก และ วิล เทรย์เนอร์ หญิงสาวที่ต้องเสียผู้ชายที่เธอรักไปตลอดกาล

 

Me Before You
ภาพประกอบโดย ณัฐนรี อิ่มรักษา

ลูอิซ่า คลาร์ก และ วิล เทรย์เนอร์ สองตัวละครหลักในเรื่อง Me Before You ที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักและการใช้ชีวิตของหญิงสาวที่หางาน จนเจอกับชายหนุ่มพิการซึ่งกำลังตามหาผู้ช่วย จนทำให้ทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกัน วิลสามารถออกไปใช้ชีวิตตามแบบที่เขาต้องการ และได้ทำตามในสิ่งที่เราเลือกหรือตัดสินใจเอง

Me Before You เปิดเรื่องมาด้วยการแนะนำวิล เทรย์เนอร์ ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อมไปด้วยหน้าตา ฐานะ หน้าที่การงาน และความรัก วิลเป็นคนชอบความตื่นเต้นท้าทาย เห็นได้จากแผนเดินทางไปปีนเขาหรือการขับบิ๊กไบค์ แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุกับวิลเพราะความไม่ระวังของเขาในขณะข้ามถนน ทำให้ร่างกายตั้งแต่ช่วงคอลงไปใช้งานไม่ได้ เหลือเพียงแต่มือที่ยังขยับได้เพียงเล็กน้อย

ลูอิซ่า คลาร์กหรือ ลู หญิงสาวที่แต่งตัวด้วยชุดที่มีความสะดุดตา คำพูดน่าฟัง และมีทักษะการขายขนมปังที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้เธอจะขายเก่งเพียงใดเจ้าของร้านก็จ้างเธอออกจากงาน ฉากเมื่อลูกลับบ้านเราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวละครในครอบครัว ทั้งพ่อที่ไม่เชื่อว่าลูจะได้งาน แม่ที่ให้กำลังใจและเชื่อมั่นว่าเธอจะหางานใหม่ได้แน่ และแฟนหนุ่มของลูได้แก่ แพทริค นักวิ่งที่รักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งแนะนำให้เธอไปหางานที่ศูนย์หางาน

ตัวลูเองแม้ว่าจะต้องการงานมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีอยู่จำกัด เธอบอกว่าทำได้ทุกอย่าง แต่เธอกลับปฏิเสธงานหลายอย่างที่ถูกเสนอมา จนสุดท้ายก็ได้งานดูแลผู้ป่วยพิการที่อยู่ไม่ไกลบ้านนัก เป็นระยะเวลา 6 เดือน

 

การพบกันครั้งแรกของลูและวิล

สาวยิ้มสวยเป็นมิตรแต่กระโปรงขาด กับหนุ่มปากร้ายที่แผลงฤทธิ์ตั้งแต่แรกพบ

วันสัมภาษณ์งานของลู เธอไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เธอใส่เสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคยจนเผลอทำกระโปรงขาด และตื่นเต้นประหม่าเพราะต้องการงานมาก จนทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ในการตอบคำถาม กระนั้นเถอะ เรากลับรู้จักลูมากขึ้นจากการตอบคำถาม เธอเป็นคนช่างพูด คิดอะไรพูดออกไปอย่างนั้นและไม่มีเป้าหมายในอนาคต  สัมภาษณ์ของเธอผ่านไปได้ด้วยดีอย่างน่าแปลกใจเพราะความตั้งใจและจริงใจที่เธอได้แสดงให้แม่ของวิลเห็น

หน้าที่หลักๆ ของลูไม่ใช่การดูแลแบบผู้เชี่ยวชาญแต่คือการช่วยเหลือแบบเพื่อน ความประทับใจแรกของทั้งสองคือ สาวยิ้มสวยเป็นมิตรแต่กระโปรงขาด กับหนุ่มปากร้ายที่แผลงฤทธิ์ตั้งแต่แรกพบ ช่วงแรกของการทำงานลูต้องเรียนรู้ทั้งตารางสิ่งที่ต้องทำ ยาต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ นอกจากนี้เธอต้องพยายามอย่างหนักในทุก วันเพื่อเป็นเพื่อนกับวิล ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์อย่างชัดเจน

ความสัมพันธ์ของลูและแพทริคนั้นไม่ค่อยดีนัก ทั้งสองมีความคิดที่ต่างกันอย่างชัดเจน แพทริครักการวิ่ง รวมถึงปั่นจักรยานมากจนวางแผนจะใช้วันหยุดที่ทั้งสองคนมีร่วมกันไปนอร์เวย์เพื่อร่วมงานปั่นจักรยานกับเพื่อน จนทำให้ลูรู้สึกไม่พอใจและแปลกแยกไม่เข้ากันเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในสวนที่ลูและวิลได้พูดคุยเรื่องการใช้ชีวิต

ความสัมพันธ์ที่เริ่มก่อตัว

ความสัมพันธ์ของลูและวิลดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ลูระเบิดสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมดออกมาตั้งแต่พบกันครั้งแรก ทำให้วิลเริ่มเปิดใจและทำความรู้จักลูมากกว่าคนก่อนที่ถูกจ้างมา ทั้งสองเรียนรู้ซึ่งกันและกันผ่านการดูหนัง เดินเล่น และเล่าเรื่องชีวิตของแต่ละฝ่าย

หนึ่งในฉากที่หลายคนน่าจะนึกถึงคือฉากที่วิลชื่นชมรองเท้าของลู เราเห็นมุมมองชีวิตของวิลและลู ในขณะที่วิลแสดงออกว่าเบื่อหน่ายกับที่ที่เขาอยู่ อยากไปท่องโลก แต่ลูค่อนข้างพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นแม้จะไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็ตาม วิลจึงแนะนำให้เธอออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่

แต่แล้วลูก็บังเอิญได้ยินบางสิ่งเข้า นั่นคือเรื่องที่วิลจะอยู่อีกแค่ 6 เดือนและจะจบชีวิตตัวเอง แม่ของวิลไม่เห็นด้วยและต้องการจะใช้เวลาที่เหลือนี้เพื่อเปลี่ยนใจวิลโดยฝากความหวังไว้กับลู ลูรู้สึกเสียใจและไม่อยากทำงานนี้แล้ว จึงปรึกษาพี่สาวจนได้แนะนำให้เธอสร้างช่วงเวลาพิเศษให้กับวิลทำก่อนจบชีวิต ทำให้ลูเกิดไอเดียที่จะเปลี่ยนใจวิลอีกครั้ง

ลูนำกิจกรรมไปเสนอพ่อแม่ของวิล จนได้กิจกรรมแรกอย่างไปชมการแข่งม้า แต่ทุกอย่างก็พังตั้งแต่ลงจากรถเพื่อเข้างานไปจนถึงการทานข้าวที่ร้านอาหาร ลูจึงแก้ตัวด้วยการชมคอนเสิร์ตเพลงคลาสสิก ที่มีลูในชุดราตรีสีแดงและวิลในชุดทักซิโดท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติกและเสียงดนตรีของโมซาร์ท

 

วิลที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะจบชีวิตลง

การตัดสินใจ

ในงานวันเกิดของลู ลูได้ชวนวิลไปร่วมฉลองที่บ้านเพื่อพบครอบครัวและแฟนของเธอ ความชื่นชอบในการวิ่งของแพทริคทำให้มางานวันเกิดลูสาย ในฉากนี้เราเห็นได้ว่า วิลนั้นใส่ใจสิ่งที่ลูพูดมาก จากการที่เขาซื้อของขวัญให้เธอเป็นถุงน่องลายผึ้ง ที่เธอเคยพูดถึงครั้งแต่ต้นเรื่อง

หลังจากพิการ วิลมองว่าตัวเขาในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเขาจริงๆ เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่เคยทำได้ และไม่ชอบที่เป็นแบบนี้แต่ลูกลับได้รับอะไรหลายอย่างจากวิล ทั้งพ่อที่ได้งานใหม่เป็นหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงปราสาท และอิสระที่เธอจะได้ทำในสิ่งที่ชอบ แต่แม้ลูจะทำให้วิลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้มากเท่าไหร่ ก็เหมือนจะยังไม่เพียงพอที่ทำให้วิลเลือกมีชีวิตต่อ

ลูวางแผนที่จะไปเที่ยวกับวิลเธอและยกเลิกนัดกับแพทริค จึงทำให้แพทริคไม่พอใจที่ลูเห็นงานสำคัญกว่า หากมองในมุมของแพทริคเขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดาที่แฟนไปเที่ยวกับผู้ชายคนอื่นหรือเห็นงานสำคัญกว่า ส่วนในมุมของลูเธออยากทำให้วิลมีชีวิตต่อ และตอนนี้ใจก็ค่อนข้างเอียงเอนไปทางวิลที่เข้าใจตัวเธอมากกว่า อาการป่วยหนักของวิลก็ยิ่งย้ำเตือนถึงความสำคัญของวิลต่อลูมากยิ่งขึ้น แม้แพทริคจะกลับมาเพื่อปรับความเข้าใจกับลูอีกครั้ง แต่เมื่อเขาเห็นแผนท่องเที่ยวกับวิลที่ลูจัดไว้ เขาก็ไม่พอใจอีกครั้ง เขารู้สึกเป็นคนนอกมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่รู้เลยว่าแฟนที่คบกันมา 7 ปีกำลังทำอะไรอยู่ บทสรุปของความสัมพันธ์นี้จึงเป็นการเลิกลา

แม้จะเสียใจจากการเลิกกับแฟนมาหมาดๆ ลูก็ยังตั้งใจแน่วแน่ในการไปเที่ยวกับวิลที่ทะเล ตลอดทั้งทริปเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และความรักที่กำลังก่อตัว ไม่ใช่แค่วิลที่มีความสุขแต่ลูก็เช่นกัน เธอทำหลายสิ่งที่ไม่เคยทำก็เพราะวิล แต่ถึงอย่างนั้นความสุขนี้ก็ไม่สามารถทำให้วิลเปลี่ยนใจได้ เพราะวิลรู้สึกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ชีวิตเขา

แม้วิลจะรักลูมากแค่ไหนแต่เขาไม่อยากที่จะอยู่กับลูในขณะที่ร่างกายเป็นอัมพาต วิลได้แสดงความแน่วแน่ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะมีคนที่เขารักหรือคนที่รักเขามากแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจนี้ของเขาได้

ลูได้ตัดสินใจออกจากงานและกลับบ้านเพื่อเล่าให้พ่อแม่ฟัง แม่ของลูไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่วิลตัดสินใจ แต่พ่อของลูเห็นต่างออกไปว่า ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนตัวตนของใครได้ นั่นทำให้ลูยอมรับและตั้งใจจะไปอยู่ดูใจวิลเป็นครั้งสุดท้ายที่สวิตเซอร์แลนด์

สำหรับตอนจบของเรื่อง Me Before You คงไม่แปลกอะไรที่สุดท้ายแล้วพระเอกกับนางเอกจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่วิลก็ได้ทำให้ลูรู้จักถึงสิ่งที่เรียกว่าการใช้ชีวิต การตัดสินใจและการก้าวต่อไปข้างหน้าแม้จะไม่มีวิลอีกแล้วก็ตาม

 

Euthanasia หรือ Mercy Killing หรืออีกชื่อที่คนไทยรู้จักอย่างการุณยฆาต เป็นการตัดสินใจที่จะจบชีวิตโดยผ่านกระบวนการในการอย่างละเอียด ทั้งการสัมภาษณ์ พูดคุยกับครอบครัว เก็บข้อมูลทางการแพทย์ โดยขั้นตอนเหล่านี้จะอยู่ในการดูแลของแพทย์ทั้งหมด ปัจจุบันมีแค่ 10 ประเทศเท่านั้นที่มีการการุณยฆาต

กระบวนการนี้เป็นที่ถกเถียงกันทั่วโลกในเรื่องของจริยธรรมและสิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยเองการการุณยฆาตยังไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งจากเรื่องกฎหมายพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 มาตราที่ 12 ที่มีใจความว่าผู้ป่วยสามารถยื่นหนังสือไม่ขอรับบริการทางการแพทย์ เพื่อที่จะตายแบบธรรมชาติได้ แต่การตายแบบธรรมชาติแตกต่างจากการเร่งให้ตายอย่างการุณยฆาต รวมถึงเรื่องจรรยาบรรณของแพทย์ที่ต้องรักษาผู้ป่วยทำให้อาการดีขึ้น ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยแย่ลงหรือทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิต