Skip to main content

“บางคนมองว่าพอเป็นคนพิการหรือคนตาบอดยังจะมีความต้องการหรืออยากไปเที่ยวอะไรแบบนี้อีกเหรอ เราอยากให้คุณมองว่า ถ้าคุณเป็นคนพิการหรือคนตาบอด คุณยังมีความรู้สึกหรือความต้องการอยู่หรือไม่ ซึ่งเราก็ยังมีความต้องการอยู่ อะไรที่เป็นบริการที่สังคมเข้าถึงได้ คนพิการหรือคนตาบอดก็อยากเข้าถึงได้เช่นกัน” 

ถ้อยคำที่สะท้อนจากมิตรสหายตาบอดทำให้เราได้เห็นว่าที่สุดแล้วทุกคนก็มีความรู้สึก ความรัก ความต้องการไม่ต่างกัน แต่ยังมีคนพิการอีกไม่น้อย ที่ถูกขีดเส้นแบ่งไว้ในแดนสนธยาผ่านการบอกว่า “พิการแล้วยังมีอารมณ์อีกเหรอ” “เกิดเป็นแบบนี้ยังสนใจเรื่องเพศอีกเหรอ” คำดูแคลนสารพัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่คนพิการหลายคนเผชิญกลายเป็นเรื่องปกติ  หนำซ้ำคนยังมองว่า ความพิการเป็นเรื่องเวรกรรม บุญบาปที่มีติดตัวมาแต่ชาติปางก่อน ทัศนคติเรื่องเพศของคนพิการจึงถูกกลบเสียจนมิดและพร่ำบอกว่า เรื่องเพศเป็นสิ่งที่ต้องหนีไปให้ไกลสุดไกล 

สองมิตรสหายตาบอดที่เราชวนคุยแลกเปลี่ยนในวันนี้ พูดคุยกับเราด้วยบรรยากาศเป็นกันเองสนุกสนาน มิตรสหาย ช และมิตรสหาย จ เน้นย้ำว่าการบอกเล่าเรื่องนี้เป็นเพราะอยากให้สังคมได้รู้จักและเข้าใจ ว่าที่จริงแล้ว เซ็กส์เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องพูดได้ เมื่อคนทั่วไปมีความอยาก คนพิการก็อยากและนอกเหนือจากประสบการณ์เรื่องเพศ เรายังได้ชวนเขาทั้งสองคนคุยถึงเรื่องทัศนคติ การปฏิบัติต่อคนพิการและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของคนพิการในสังคม ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนภาพความเป็นจริงที่คนพิการต้องเผชิญ 

เที่ยวครั้งแรก

มิตรสหาย ช : ผมเคยไปหมดทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาบ อบ นวด ไซด์ไลน์ หรือย่านที่มีการขายบริการต่างๆ จุดเริ่มต้นเริ่มมาจากการไปกับเพื่อนเพราะเพื่อนเคยเป็นคนตาดีมาก่อน เขารู้จักสถานที่เที่ยวแนวนี้มากเป็นพิเศษ ก็เลยชักชวนกันไป 

การเที่ยวครั้งแรกของผมคือแถวปทุมธานี ย่านที่ไปเรียกว่าซอยโลกีย์ วันนั้นคนตาบอดนั่งแท็กซี่รวมกันไปหลายคน บรรยากาศภายนอกของร้านเป็นเหมือนร้านอาหาร มีการร้องคาราโอเกะและนั่งดื่มเครื่องดื่ม พอเข้าไปก็จะมีคนคอยถามว่าสนใจใครบ้างไหม อยากจะขึ้นหรือเปล่า เที่ยวไหม พนักงานมาถามผมว่าชอบหุ่นเพรียวบางหรือหนานุ่ม ชอบคนมีน้ำมีนวลหรือคนตัวเล็ก จัดฟันก็มี ตอนนั้นคิดแค่ว่าครั้งแรกของผมจะยังไงก็ได้เพราะตื่นเต้นมาก 

พอตัดสินใจเลือกมาคนหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงรู้สึกว่าเขายังอายุไม่เท่าไหร่ แต่พอพาขึ้นมาที่ห้องถึงรู้ว่าเกือบจะ 40 แล้ว (หัวเราะ) เขาเริ่มจากการให้เราจับมือ จับแขน เราก็รู้สึกดี พอจ่ายค่าเสียหายถึงได้เริ่มกิจกรรมเข้าจังหวะ เขาถามเราว่าเคยมาเที่ยวอะไรแบบนี้ไหม เราก็บอกว่าไม่เคย นี่เป็นครั้งแรก เขาจึงให้เราคลำไปทีละส่วน แล้วก็บอกว่าไม่ต้องตื่นเต้นนะลูก คำนี้ฝังใจผมมาก (หัวเราะ) 

ตามการบ้าน

มิตรสหาย ช : หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็เริ่มลองหาอ่านหรือศึกษาวงการว่าเขาทำอะไรกันอย่างไร เสิร์ชหาจากคำง่ายๆ ที่ใช้กันเยอะ เช่น ขายตัว ขายบริการ ไซด์ไลน์ พอเริ่มอ่านไปเรื่อยๆ ก็จะได้ศัพท์ใหม่ เช่น การบ้านและพบว่ามีการเขียนรีวิวไว้ด้วย เรียกว่าลายแทง เปรียบเสมือนลายแทงสมบัติให้เราไปตามหาของเราเอง อันไหนที่คนรีวิวเยอะๆ หรือได้คะแนนความน่าสนใจ เราก็ไปตามนั้น 

การเขียนรีวิวในที่นี้คือเขียนจริงๆ กว่า 30 หน้า เล่าว่าไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เขาเล่าเป็นฉากๆ เราก็ต้องศึกษาเพื่อความคุ้มค่าของการลงทุน ครั้งต่อมาที่เราไปเที่ยวก็คือไปตามการบ้าน แต่การอ่านก็ต้องดูให้ดีว่าอันไหนเป็นรีวิวหรืออันไหนเป็นโฆษณาที่เขียนแบบรีวิว การอ่านรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจทำให้คนตาบอดตัดสินใจได้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ หรือบริการต่างๆบางทีการบ้านก็เขียนไว้ได้น่าสนใจมาก แต่ในความเป็นจริงทำไม่ได้ เราก็รู้สึกเฟลนะ ไม่คุ้ม เหมือนไปร้านอาหารที่รีวิวดีแต่ของจริงไม่อร่อย 

การติดต่อไปตามที่ระบุในลายแทง ส่วนใหญ่จะผ่านการนัดแนะกันแล้วก็ไปเจอในสถานที่ที่ตกลงไว้ พอจ่ายเงินแล้วก็ปฏิบัติการ ถ้านัดกันข้างนอกก็เราก็ต้องเสียค่าโรงแรม แต่ถ้าเป็นสถานที่เขามีให้บริการก็จะมีจุดรองรับให้เรา

รูปแบบการใช้บริการเบื้องต้นก็คือ การโทรคุยติดต่อนัดแนะและไปเจอตัวจริง บางครั้งเราก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนตาบอดเพราะเคยบอกไปแล้วก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้บริการ ครั้งหนึ่งเราเคยโทรไปถาม เสียงของเขาดีมาก น่ารักและมีเสน่ห์ คุยจนรู้สึกถูกคอเราจึงไม่อยากบอกว่า เราเป็นคนตาบอดเพราะกลัวจะถูกปฏิเสธ ยังไงซะคุยผ่านโทรศัพท์เขาก็ไม่มีทางรู้ว่าเราเป็นคนตาบอด คุยเสร็จจึงได้นัดแนะว่าให้ไปเปิดโรงแรมรอ พอเขามาถึงและพบว่าเราเป็นคนตาบอด เขาก็ปิดประตูเดินออกไปเลย เข้าใจว่าเขาน่าจะตกใจแล้วก็เดินหนีไป โทรกลับไปก็ปิดเครื่องไปแล้ว 

โดนหลอกให้นอนแข็ง

มิตรสหาย จ : เรื่องการนัดแนะผมเคยเจอเหมือนกัน พอเราได้คอนแทคมาผมก็โทรนัดที่สถานที่หนึ่ง เราก็เรียกแท็กซี่ไป แท็กซี่ก็เตือนนะว่าแถวนี้โดนหลอกกันบ่อย ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจเพราะอยากจะเที่ยวมากกว่า พอไปถึงเราก็จ่ายเงินค่าห้องและค่าถุงยางอนามัยให้เขาไปก่อนเลย 1,500 บาท ถือว่าเป็นเงินที่เยอะเหมือนกันสำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบ จ่ายตังค์ไปมือสั่นเลย  (หัวเราะ) 

พอเข้าห้องไปเขาก็บอกว่าเดี๋ยวขอออกไปเอาถุงยางก่อน เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร ปรากฏว่าเขาไปเรียกเพื่อนเขาที่อยู่กับเพื่อนผมอีกห้องให้ออกจากโรงแรมไปเลย ผ่านไป 10 กว่านาทีถึงได้รู้ว่าโดนหลอกเพราะยามมาเคาะประตูเรียก เขาบอกว่าสองคนเมื่อกี้นั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปแล้ว ใจร้ายมาก ปล่อยให้คนตาบอด 2 คนนอนแข็งอยู่ในโรงแรม เจ็บใจมากที่เงินก็เอาไปแล้ว ตอนแรกผมคุยกับเพื่อนว่าห้องติดกันใครปฏิบัติการเสียงดังกว่าคนนั้นชนะ แต่ปรากฏว่าวันนั้นนั่งเศร้าปรับทุกข์กับเพื่อนยันเช้า (หัวเราะ) 

ฟีลแฟน

มิตรสหาย จ : ครั้งที่ประทับใจก็มีเหมือนกันเพราะหลายครั้งเรามักเจอคนที่ชอบข่มขู่ หรือพูดคำบางคำจนเราเสียความมั่นใจไปเลย การไปเที่ยวจึงมีความเสี่ยงเนื่องจากผู้ให้บริการแต่ละคนก็มีสไตล์แตกต่างกันไป ฉะนั้นเมื่อเราได้เจอครั้งที่ประทับใจก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่แลกเปลี่ยนไปเพื่อความสุข  ครั้งที่ประทับใจเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายชวนพูดคุยทำความรู้จักและสัมผัสไปทีละส่วน ตอนนั้นอาจเป็นเพราะเขาเห็นเราตาบอด เพราะฉะนั้นถ้าชอบตรงไหนหรืออยากให้ทำอะไรก็บอกได้เต็มที่เลย สิ่งเหล่านี้ทำให้เราประทับใจมาก 

บางครั้งเขาก็บริการจนเราอยากกลับมาอีก ภาษาของคนเที่ยวเขาเรียกฟีลแฟน พอได้ยินคำนี้เราก็รู้สึกว่าเป็นกันเองแน่นอน แต่ในทางปฏิบัติก็จะต้องมาดูว่า ฟีลแฟนหรือฟีลเฟล เราจะประทับใจคนที่พร้อมที่จะเรียนรู้ไปกันเราว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อะไรกระตุ้นความอยากของเราให้มากขึ้น หรือแพ้คนใส่ใจรายละเอียดนั้นแหละ

มิตรสหาย ช : ครั้งที่ประทับใจของผมมาจากการตามลายแทงการบ้าน ครั้งนั้นเป็นคนตาบอดเขียนรีวิวไว้ แม้ไม่รู้ว่าใครเขียนแต่เพราะเป็นคนตาบอดเหมือนกันก็เลยไว้เนื้อเชื่อใจ ก็เลยไปตามการบ้านเขาอีกที 

พอไปถึงเขาก็ต้อนรับขับสู้อย่างดี พาเราจับศอกขึ้นไป ทำให้รู้เลยว่าเขาให้บริการคนตาบอดมาก่อน ดูแลเราฟีลแฟน กอด จูบ ลูบ คลำ พาอาบน้ำอาบท่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเราจะทำได้กับทุกคนนะ แล้วแต่ขอบเขตการบริการว่าทำได้แค่ไหน แต่นี่เขาทำทุกอย่างตรงกับในรีวิว ไม่คอยมานั่งถามว่าเป็นคนตาบอดทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ แม้ผมจะมองว่าถามได้แหละ เป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปจะสงสัย แต่ในเวลานั้นมานั่งถามกันเราก็ไม่มีอารมณ์จะตอบ พอเจอคนที่เป็นงานเราก็รู้สึกว่าโอเคนะ ปล่อยให้เกมรักมันดำเนินไปตามเรื่องราวของมัน  

อาบ อบ นวด

มิตรสหาย จ : นอกเหนือจากการเที่ยวแบบไซด์ไลน์ ก็จะเป็นการเที่ยวในสถานบริการเป็นเรื่องเป็นราวอย่างอาบ อบ นวด ช่วงนั้นเป็นเดือนเมษายน อากาศกำลังร้อนๆ เราตัดสินใจไปเที่ยวอ่างครั้งแรก ตอนนั้นคนเชียร์แขกก็จะช่วยเราดูว่าอยากได้คนไหนหรือเหมาะกับใคร แล้วเขาก็จะเรียกให้มาคุยกับเรา พอเป็นอาบ อบ นวดก็จะมีมาตรฐานในการบริการที่ดีขึ้นมาอีกขั้น 

คนเชียร์เล่าให้เราฟังว่า ใครเป็นอย่างไร หน้าตาเป็นแบบไหน สัดส่วนเป็นอย่างไร พอเจอคนเชียร์แขกที่จริงใจเขาก็จะสะท้อนภาพออกมาได้ตรงอย่างที่พูด แต่บางคนก็ไม่ใช่ ตอนเชียร์บอกว่าคนนี้ตัวเล็กมาก แต่พอไปคลำจริงคนละเรื่อง เราไม่ได้ติดว่ารูปร่างหน้าตาใครจะเป็นแบบไหน  แต่พอเจอไม่ตรงแบบที่เชียร์แขกก็เสียความรู้สึก สิ่งเหล่านี้คนตาดีไม่มีปัญหาเพราะเขาชี้แล้วเลือกได้เลย แต่คนตาบอดเลือกแบบนั้นไม่ได้ จะเดินไปคลำก็อย่างไรอยู่  ถ้าเขาเชียร์หรือเรียกมาแล้วเราจะปฏิเสธหรือบอกว่าไม่ชอบก็ไม่ได้ ถ้าโดนเรียกมาแล้วถูกไล่กลับไปคงเสียความรู้สึก เรารู้ดีว่าปฏิเสธได้ แต่เรานึกถึงใจคนที่เขาโดนเรียกมามากกว่าว่าเขาอาจจะเต็มใจให้บริการเราก็ได้ ถ้ามีทางเลือกให้คนตาบอดมากขึ้นก็น่าจะดี เช่น ให้ฟังเสียง หรือให้แนะนำตัวสั้นๆ ก็ได้ 

พอออกไปเที่ยวก็คุยกับพนักงานว่าเคยเจอคนพิการบ้างไหม หลายคนก็บอกว่า เคยเจอ ก็ให้บริการเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป เขาได้เปิดใจเล่าให้เราฟังหลายเรื่อง ซึ่งบางเรื่องออกแนวบ่น เช่น เวลาเจอแขกชาวต่างชาติที่มีขนาดอวัยวะเพศใหญ่หรือคนที่มีกลิ่นตัวแรงมากๆ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญและอดทนด้วยหน้้าที่การงาน เราได้ฟังแล้วก็รู้สึกดีที่เขากล้าเล่าให้เราฟัง ทำให้เราเห็นว่า ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนๆกัน 

ข้อจำกัด

มิตรสหาย จ : การไปเที่ยวของคนตาบอดมีข้อจำกัดเหมือนกันเพราะคนตาบอดต้องพูดคุยเยอะ และต้องมีกำลังใจ ความมั่นใจที่แข็งกล้าประมาณหนึ่งเมื่อซื้อบริการ คนตาบอดต้องการการถูกยอมรับเพราะเมื่อเป็นคนพิการก็มักมีโอกาสที่จะเสียความมั่นใจ เช่น เวลาเจอคำถามสารพัด อย่างเล่นไลน์ได้อย่างไร จะทำได้จริงๆ เหรอ หรือหนักสุดคือการที่เขายอมรับไม่ได้แล้วหนีหายไปเลย คนตาบอดต้องเผื่อใจยอมรับเรื่องราวเหล่านี้

มิตรสหาย ช : หลังจากที่เจอเขาปิดประตูหนีไปทำให้เราต้องวางแผนการเที่ยวแบบใหม่คือผมจะบอกก่อนเสมอว่าเป็นคนตาบอด ใครที่รับไม่ได้จะไม่ต้องรับแต่แรก เขาก็จะบอกเลยว่าไม่รับบริการคนพิการหรือบางคนเขาก็หาว่าเราแกล้ง ไม่เชื่อว่าตาบอดจริง มีคนบอกว่าเป็นคนพิการไม่มีส่วนลดนะ สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเชื่อว่า พอเป็นคนพิการแล้วจะได้สิทธิอะไรบางอย่าง ทั้งที่เราไม่เคยมองหาส่วนลดอะไรแบบนั้น แค่เราอยากได้สิ่งที่ขาดและเติมส่วนนั้นให้เต็มเสียมากกว่า 

มิตรสหาย จ : นิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นเรื่องที่ดีในสังคมเรา แต่การสงสารนั้นพ่วงมากับการลดทอนคุณค่าคนอื่น การคิดแทน ครอบงำ ทำให้ เป็นสิ่งที่คนพิการในสังคมไทยพบเจอเสมอ ในหลายเรื่องคนพิการไม่ได้สมัครใจหรือเต็มใจอยากจะทำ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเนื้อร้ายที่สังคมไทยควรกำจัดสิ้นไป 

ทัศนคติเหล่านี้มันสะท้อนไปถึงเรื่องที่เราเจอในชีวิตประจำวันด้วย คำถามหลายอย่างที่คนตาบอดเจอสะท้อนที่ทางของคนตาบอดว่ายังอยู่ในจุดที่ต่ำกว่า บางครั้งคำถามก็เหยียดเรา เช่น ขนาดเรื่องง่ายๆ บางอย่างก็มองว่าเราทำไม่ได้ อย่างที่ถามว่าเรียนได้เหรอ เที่ยวได้เหรอ เขาเปรียบตัวเองเสมือนยืนถามจากที่ที่สูงกว่า ส่วนเราอยู่ต่ำกว่า หรือมีภาพจำมาแล้วว่าคนตาบอดต้องเป็นอย่างไร คนพิการต้องเป็นแบบไหน 

มิตรสหาย ช : มีน้องพนักงานบริการคนหนึ่งบอกเราว่า เขาเองก็เพิ่งรับแขกคนพิการครั้งแรก ถ้ามีอะไรบกพร่องก็ให้บอก เราบอกเขาว่า ทำเหมือนที่ทำกับคนทั่วไปเลย เหตุการณ์นี้ดีมากที่เขาไม่คิดแทนเรา ไม่ได้มองว่าเป็นคนตาบอดแล้วทำได้แค่ 1 2 3 หรือทำอะไรหรือไม่ทำอะไร พอเขาคุ้นเคยเขาก็กล้าที่จะปฏิบัติ ยังบอกเลยว่าถ้ามีเพื่อนให้ชวนมาเที่ยวได้นะ แต่เรื่องแย่ๆ ก็มีนะ เช่น พนักงานเขาบอกว่า ที่ยอมเพราะทำบุญ อยากทำให้คนพิการมีความสุข เจอแบบนั้นก็คงหดหมด 

คำพูดที่ว่าเป็นคนตาบอดยังจะเที่ยวอีกหรือ/ตาบอดแล้วไม่เจียม 

มิตรสหาย จ : บางคนก็จะมองว่า เป็นคนพิการหรือคนตาบอดยังจะมีความต้องการหรืออยากไปเที่ยวอะไรแบบนี้อีกเหรอ ในอีกมุมหนึ่งเราก็อยากให้คุณมองว่าถ้าคุณเป็นคนพิการหรือคนตาบอดคุณยังมีความรู้สึกหรือความต้องการอยู่หรือไม่ ซึ่งเราก็ยังมีความต้องการอยู่ อะไรที่เป็นบริการที่สังคมเข้าถึงได้คนพิการหรือคนตาบอดก็อยากเข้าถึงได้เช่นกัน คนพิการก็อยากจะมีสิทธิเลือก 

มิตรสหาย ช :  เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเที่ยวในย่านความบันเทิงหรือสถานที่อโคจร ในชีวิตประจำวันเราทั่วไปก็มีปัญหา ผมเป็นคนตาบอดไปทำธุรกรรมธนาคาร บางสาขาก็บอกว่าให้เอาพ่อแม่ผู้ปกครองมาด้วยถึงจะทำได้ เราก็บอกว่าอายุป่านนี้แล้วยังจะต้องให้ตามพ่อแม่มาอีกหรือ บางทีก็บอกว่าให้ใครก็ได้ที่เป็นคนตาดีมาเซ็นเพื่อความปลอดภัย แต่เขาบอกว่าเป็นใครก็ได้ที่เป็นคนตาดีให้มาเซ็น ถ้าเป็นแบบนั้นทำไมพนักงานไม่เซ็นให้เราไปเลยล่ะ แบบนั้นเป็นความปลอดภัยจริงหรือ ตู้ ATM ที่เป็นระบบสัมผัสที่ไม่มีปุ่มคนตาบอดก็ใช้งานไม่ได้ บางคนก็มองว่าเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ แต่สำหรับคนพิการมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นปัญหาในการใช้ชีวิต 

ในที่สุดผมคิดว่าก็คงจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนทัศนคติ คนตาบอดและคนพิการก็มีหัวใจ มีความคิดและความรู้สึก เราแค่ตาบอดแต่เราก็ยังมีงานที่ต้องทำ มีเงินที่ต้องหา มีภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแล มีอารมณ์เหมือนกับทุกคน เราไปเที่ยวเราก็ใช้เงินของตัวเอง ไม่ได้ขอหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ในเมื่อเป็นเงินเราแล้วเราก็อยากจะมีทางเลือกในการสร้างความสุขให้กับตัวเอง 

มิตรสหาย จ : วงการคนพิการเป็นวงการที่ไม่มีใครอยากจะมาอยู่หรอก มันออกไม่ได้ ถ้าเลือกได้ทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่จะต้องปรับทัศนคติแล้ว ผมก็มองว่าเป็นหน้าที่ของคนพิการเหมือนกันที่จะสร้างความเข้าใจและถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ของตัวเองว่าในมุมมองของคนพิการคิดเห็นต่อเรื่องไหนอย่างไร อย่างน้อยเราเป็นคนตาบอดก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดได้ ต้องการการยอมรับจากคนในสังคม ต้องการศักดิ์ศรีและคุณค่า เราไม่ต้องการที่จะอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่คนในสังคมตีกรอบหรือขีดให้เรา แต่ต้องการอยู่ในโลกใบเดียวกันที่ไม่มีกำแพงทัศนคติที่คอยตัดสินและคั่นกลางระหว่างคนพิการและคนไม่พิการ