Skip to main content

“การเอื้อมมือคว้าสิ่งที่อยากได้มันน่ากลัว แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” - โจเซ่

‘Josee The Tiger and The Fish’ (โจเซ่ กับเสือและหมู่ปลา) สร้างจากนวนิยายสั้น (light novel) ของ ‘ทานาเบะ เซย์โกะ’ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1984 นวนิยายเรื่องนี้เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นเมื่อปี 2003 และเวอร์ชั่นเกาหลีใต้ในปี 2020 นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสฉายในไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาโดยได้รับการพูดถึงจากหลายๆ คนว่า เป็นอนิเมะที่ทำให้เข้าใจเรื่องความพิการมากขึ้น

เนื้อเรื่องเล่าถึง ‘โจเซ่’ หญิงสาวพิการนั่งวีลแชร์ที่อยู่กับคุณย่า เธอมีงานอดิเรกคือการวาดรูปและอ่านหนังสือ ในบ้าน พอไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกทำให้เธอหวังที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองอยู่เสมอ จนวันหนึ่งได้มีโอกาสพบกับ ‘สึเนโอะ’ นักศึกษาด้านชีววิทยาทางทะเลที่คุณย่าจ้างมาเป็นผู้ดูแล นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ครั้งใหม่ของเธอในรูปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


การเข้ามาของสึเนโอะ ส่งเสริมให้โจเซ่ได้ลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ไปทะเล สวนสัตว์ ห้องสมุด ดูหนังในโรงภาพยนตร์ โดยหนังเล่าถึงมุมมองของคนพิการที่ไม่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตของตัวเองผ่านข้อจำกัดของร่างกาย นอกจากนี้เธอยังมีโอกาสได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ค้นหาศักยภาพตัวเอง ในช่วงต้นของหนังเราจะเห็นความหงุดหงิดของเธอ ก่อนที่ช่วงกลางและปลายเรื่องบทบาทของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด

เพื่อให้เห็นภาพและสิ่งที่หนังพยายามเล่าเรื่องความพิการมากขึ้น เราชวนรถเมล์- ปนิตา ชวภัทรธนากุล นิสิตปริญญาเอกด้านจิตวิทยา เธอมีภาวะของโรคเส้นประสาทไขสันหลังเสื่อมหรือ Spinal Muscular Atrophy: SMA Type 2 และวีลแชร์และผู้ช่วยคนพิการถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีความจำเป็นสำหรับเธอเหมือนกับโจเซ่ที่มีผู้ดูแล ร่วมพูดคุยหลังดูหนังจบเพื่อเพื่อสะท้อนภาพชีวิตจริงของคนพิการรุนแรง ในสังคมและสะท้อนว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการมีฝันของคนพิการ

**** คำเตือน บทสัมภาษณ์นี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง ****



► ความรู้สึกหลังดูจบเป็นอย่างไร
รถเมล์ : เรารออนิเมะเรื่องนี้มานานมาก ตั้งแต่ช่วงเข้าโรงที่ญี่ปุ่น ถ้าไม่ติดโควิด-19 ก็น่าจะมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม

พอดูแล้วรู้สึกชอบมาก ส่วนตัวเราเป็นคนที่อินอนิเมะอยู่แล้ว ภาพสวย รายละเอียดดี เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของโจเซ่ นางเอกที่มีความพิการแล้วต้องนั่งวีลแชร์ เธอมีย่า ซึ่งไม่ค่อยอยากให้ออกไปข้างนอก เพราะมองว่าข้างนอกอันตราย เธอจะเปรียบเทียบคนอื่นเป็นเสือ มีความหมายว่าคนใจร้าย ดังเช่นที่ในหนังทำให้เราเห็นว่า นางเอกเคยโดยเดินชนแล้วคนนั้นก็ไม่หันมาขอโทษ เสมือนเปรียบเทียบว่า คนพิการเมื่อออกไปสู่สังคมอาจไม่ปลอดภัยจริงๆ คนรอบตัวเป็นเสือหรือเปล่า

ส่วนตัวโจเซ่ แม้จะเข้าใจที่ย่าบอกว่าอยากให้อยู่บ้าน ไม่อยากให้ออกไปไหนเพราะอันตราย แต่เธอก็อยากจะออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง หากสังเกตรูปวาดของเธอก็มักจะเห็นภาพวาดของโลกกว้าง ของปลาในมหาสมุทร เปรียบเหมือนโจเซ่ที่อยากจะออกไปนอกบ้าน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อคุณย่าได้จ้างพระเอกหรือสึเนโอะมาเป็นผู้ดูแล



► ดูนางเอกเป็นคนขี้หงุดหงิดพอสมควรในช่วงต้น
รถเมล์ : เธอเป็นคนที่อ่านหนังสือมากแต่ไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับสังคม จึงมีความยึดโยงตัวเองค่อนข้างสูง เหมือนกับช่วงแรกยังมีจังหวะที่กดดันพระเอกอยู่ ต้องไปหาใบโคลเวอร์ต้องไปหาลายเสื่อ โจเซ่ค่อนข้างใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางเธอยังไม่ค่อยนึกถึงคนอื่น เหมือนกับคนพิการที่ไม่ค่อยได้เจอคนอื่น ก็จะมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ค่อนข้างน้อยตามไปด้วย และเธอเองก็เชื่อในสิ่งที่หนังสือที่ได้อ่านเพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว

ในความเป็นจริงก็มีคนพิการที่ขี้หงุดหงิด ถ้าไปอยู่ในจุดที่คุณย่าพูดซ้ำๆ ว่า การออกไปข้างนอกมันอันตราย แบบนี้ใครก็หงุดหงิด เพราะสำหรับเราแม้จะรู้ว่าข้างนอกอันตราย แต่ก็อยากออกไป อยากรู้ว่าอันตรายแบบไหน การไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกหงุดหงิด เหมือนถูกจำกัดเพราะเป็นคนพิการ เวลาเห็นย่ากลัวอันตรายในบริบทประเทศญี่ปุ่นแล้วก็นึกขำว่า ถ้าโจเซ่มาอยู่ไทยย่าก็คงช็อกไปแล้ว (หัวเราะ)

ไม่มีทางเป็นไปได้เลยถ้าโจเซ่เมืองไทยอยากไปทะเล ด้วยขนส่งสาธารณะ เราคงไม่มีภาพสวยๆ เหมือนในหนังแน่นอน นักศึกษาคนหนึ่งจะพาคนพิการนั่งวิลแชร์ไปทะเลยังไง หากไม่มีรถเป็นของตัวเอง



► สึเนโอะหรือผู้ดูแลที่เข้ามามีผลกับโจเซ่อย่างไร
รถเมล์ : คือถ้าดูจากในเรื่อง สึเนโอะเหมือนแฟนมากกว่าผู้ดูแล (หัวเราะ) เพราะเราเห็นแต่ภาพของการออกไปเที่ยวอย่างเดียว ซึ่งในความเป็นจริงการเป็นผู้ดูแลคนพิการมีหน้าที่ที่หลากหลายมากทั้งทำกับข้าว อาบน้ำ ดูแลชีวิตการใช้ชีวิตประจำวันทั้งหมด อาจเป็นเพราะโจเซ่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ประมาณหนึ่ง

ถ้าเปรียบเทียบกับเราที่ไม่มีแรงจะหยิบของด้วยตัวเองเมื่อมีผู้ช่วยคนพิการ (Personal Assistant) เขาเป็นคนหยิบมาให้ หรือเมื่ออยากจะย้ายตัวเองก็จะให้เขาเป็นคนช่วย ผู้ช่วยจะคอยสนับสนุนตามความต้องการของเรา ไม่ใช่การคิดแทน หรือตัดสินใจแทน ในช่วงแรกของหนังนางเอกอยากไปข้างนอก แต่พอคุณย่าสั่งห้ามว่าไม่ให้ออก ก็ทำให้สึเนโอะซึ่งเป็นผู้ดูแลสับสน และไม่ค่อยสนับสนุนความต้องการของโจเซ่สักเท่าไหร่ ทั้งที่เธออยากจะออกไปข้างนอก

คำสั่งทำให้ซึเนโอะสับสนว่าต้องทำตามคำสั่งใครกันแน่ หากเป็นในชีวิตจริง ทั้งคุณย่าและโจเซ่ควรจะคุยให้รู้เรื่อง และตกลงกันให้เรียบร้อยว่าไม่ให้ออกไปเพราะอะไร และโจเซ่อยากออกไปเพราะอะไร


► แล้วในความเป็นจริงการมีผู้ช่วยทำให้ชีวิตอิสระมากขึ้นไหม
รถเมล์ : แน่นอนว่าการมีคนช่วยเหลือทำให้เราได้ไปในที่ที่อยากไปมากขึ้น บางทีแม่หรือคนในครอบครัวก็มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ เลยไม่สะดวกที่จะไปกับเราตลอดเวลา การมีผู้ดูแลจึงทำให้เราคล่องตัวมากขึ้น อย่างนี้เรื่องเมื่อสึเนโอะมาก็ทำให้คุณยายได้มีเวลาของตัวเองมากขึ้น

แต่สิ่งที่ต้องระวังสำหรับคนเป็นผู้ช่วยคือเรื่องของการคิดแทน การมีผู้ช่วยคือการสนับสนุนในส่วนที่เราทำเองไม่ไหว หรืออยากให้เขาช่วย ไม่ใช่ตัดสินใจแทนให้ทุกอย่าง เราเองก็ยังเจอการตัดสินใจแทนบ้าง เช่น เราจะตื่นเพื่อเตรียมตัวเรียนตอน 7 โมง แต่เขาคิดว่า เรานอนดึกตื่นสายบ้างก็ได้ เขาก็ไม่ปลุกเรา ทำให้แผนเราล่มหรือเวลาเราจะแต่งตัวออกข้างนอก

หรือเรื่องการแต่งตัวเขาบอกว่าให้ใส่ชุดอื่นเพราะใส่ง่ายกว่า แบบนี้คือการคิดแทนซึ่งทำไม่ได้ คนพิการต้องมีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตัวเอง การเป็นผู้ช่วยไม่ได้หมายความว่ามีอำนาจเหนือคนพิการและความดื้อของโจเซ่ก็แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับการตัดสินใจแทนของคนอื่นเช่นกัน

ช่วงกลางเรื่องพอโจเซ่ได้ออกไปเจอสังคมเธอก็ดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้น
ใช่ พอได้เห็นคนอื่นมากขึ้น จากช่วงแรกที่ไม่กล้าพูด ก็พูดเยอะขึ้น เหมือนกับคนพิการในชีวิตจริงที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านก็ไม่แปลกที่จะไม่กล้าพูด พอเจอคนก็รู้สึกกังวล เราออกข้างนอกบ่อยก็ไม่รู้สึกกังวล ไม่ประหม่า นอกจากนี้เราก็ยังเห็นคนไม่พิการที่งงๆ บ้างว่า ต้องช่วยเหลือคนพิการอย่างไรหรือจะต้องเริ่มปฏิสัมพันธ์แบบไหน



► พอคุณย่าเสียชีวิตของโจเซ่ก็เปลี่ยนไปเลย
รถเมล์ : โจเซ่ต้องดูแลตัวเองเมื่อต้องอยู่คนเดียว ในชีวิตจริงคนพิการอาจจะต้องประเมินว่า ระดับความพิการมากแค่ไหน ความพิการของโจเซ่อาจจะยังไม่ท้าทายมากเพราะยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในหลายเรื่อง เช่น เคลื่อนย้ายและจัดการตัวเองได้ บวกกับตัวเธออยู่ในบริบทสังคมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการออกไปใช้ชีวิตในสังคมข้างนอก

ในอนิเมะอาจนำเสนอมุมเดียว คือการที่ออกไปเจอคนที่เป็นเสือหรือกลุ่มคนที่ค่อนข้างใจร้ายกับคนพิการ คนเห็นแก่ตัว แต่ในมุมอื่นๆของชีวิตคนพิการ เช่น เรื่องของ Universal Design ความลำบากที่คนพิการเจอจึงอาจต้องประเมินจากระดับ ความพิการและบริบทของสังคม ยิ่งพิการมากและอยู่ในสังคมที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกก็ยิ่งลำบากมาก

ในหนังจะเห็นว่า โจเซ่ได้รับการติดตามและประเมินจากนักสังคมสงเคราะห์ในพื้นที่ ช่วงหนึ่งเขาแนะนำให้เธอไปเป็นนักวาดภาพเพราะเธอชอบวาดรูป เขาหาหน่วยงานที่รองรับความฝันของเธอ ต่างจากในไทยที่ต้องหาเองว่า ที่ไหนเปิดรับคนพิการเข้าทำงาน โดยไม่มีคนช่วยคิดช่วยวางแผน และสนับสนุนให้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองมีพรสวรรค์ คนพิการบ้านเราต้องไปคอยดูว่าองค์กรไหนต้องรับคนพิการตามกฏหมายแต่ไม่ใช่การหางานตามความถนัดและความชอบอย่างที่เราอยากทำ



► เมื่อรู้ว่าซึเนโอะต้องไปเมืองนอก
รถเมล์ : ตัวละครตัวหนึ่งบอกกับโจเซ่ว่า ซึเนโอะจะต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอก ที่เขายอมมาอยู่ด้วยเพราะว่าสงสาร เราว่าตรงนี้ใจร้ายมาก ทั้งเพราะคนที่มาบอกอิจฉาโจเซ่และต้องการให้โจเซ่แยกออกจากสึเนโอะ และคำพูดนี้นั้นแรงสำหรับคนพิการหลายคนอยู่เหมือนกัน

ล่าสุดเราก็เพิ่งโดนขณะขึ้นแท็กซี่เพื่อไปห้าง เขาถามว่า ขากลับมีรถหรือยัง ถ้ายังไม่มีเรียกเขาได้ จะมารับเพราะว่าเห็นแล้วสงสาร เราก็งงเหมือนกัน เพราะในความสงสารเขาก็คิดเงิน แถมยังขับรถแย่ เขามาสงสารอะไรก่อน

ส่วนโจเซ่กับสึเนโอะช่วงแรกของหนังแม้จะเป็นอารมณ์ของการจ้างงาน แต่ช่วงหลังเหมือนซึเนโอะจะชอบโจเซ่ก็เลยมาหาบ่อยๆ ผู้หญิงอีกคนจึงเข้าใจว่า มาหากันเพราะสงสาร เรื่องความสงสารเป็นมิติที่ดึงไม่ออกจากคนพิการสักที ในบ้านเราก็ใช้กันจนชินทั้งที่อาจทำร้ายจิตใจคนพิการ หากดูในอนิเมะแม้โจเซ่จะเลิกจ้างซึเนโอะไปแล้วแต่เขาก็ยังกลับมาหา นั่นแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกเกินเลยความสงสารไปแล้ว



► การได้ออกไปเที่ยวสำหรับคนพิการรุนแรงมีคุณค่าขนาดไหน
รถเมล์ : ส่วนนี้อินมาก โจเซ่มีเรื่องคาใจเกี่ยวกับการไปทะเล เพราะเคยคุยกับพ่อไว้ว่ารสชาติของน้ำทะเลเป็นอย่างไร ช็อตนี้เชื่อมโยงกับเราที่เสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก เราเคยบอกพ่อไว้ว่าถ้าโตขึ้นจะออกไปใช้ชีวิตให้ได้ สุดท้ายพ่อเสียไปก่อน เรายังไม่ได้ใช้ชีวิตให้เขาเห็นเลย ตอนนี้เราก็เลยอยากจะใช้ชีวิตให้ดีอย่างที่เคยคุยกับพ่อเอาไว้ คำพูดของโจเซ่ที่บอกว่า ถ้าไม่พยายามตอนนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เลยรู้สึกตรงมาก

เราคิดว่า ทั้งหมดทั้งมวลหนังพยายามเน้นว่าทุกคนมีฝันได้ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการหรือไม่พิการ เกิดมาพิการไม่ได้แปลว่าไม่มีสิทธิฝัน หรือต้องใช้ชีวิตเพื่อหาเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียว แต่อย่างที่เห็นว่า อยู่เมืองไทยคนพิการก็คงฝันยากหน่อย แค่ย้อนไปเรื่องผู้ช่วยคนพิการก็ยังเข้าไม่ถึง ฉะนั้นการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบธรรมดาทั่วไปก็ถือว่าเป็นเรื่องยากลำบาก พอพูดถึงเรื่องฝันของคนพิการก็คงยิ่งยากขึ้นไปอีก